เทรนด์คอนโดปี 2568 ตลาดคอนโดมิเนียมของไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่ผู้ซื้อไม่ได้มองแค่ “ราคาต่อตารางเมตร” อีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับ คุณค่าโดยรวม ทั้งด้านคุณภาพชีวิต การออกแบบ ฟังก์ชัน และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2568 แม้ปีนี้จะไม่เริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงหรือแรงกระเพื่อมในวงการอสังหาริมทรัพย์ตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง แต่ตัวเลขที่ปรากฏในช่วง 3 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา กลับซ่อนสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างที่อาจกำหนดอนาคตของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไปอีกหลายปีข้างหน้า แม้จะไม่มีข่าวฮือฮา หรือยอดขายแบบ sold out ภายในไม่กี่วันเหมือนในอดีต บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก เทรนด์คอนโดล่าสุดปี 2568 ที่นักพัฒนาและนักลงทุนต้องรู้!
ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่า… ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้งหมด 14 โครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมทั้งหมดประมาณ 19,837 ล้านบาท ด้วยอุปทานเปิดขายใหม่ทั้งหมด 5,656 ยูนิต ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 72.1% แต่พบว่า… จากอุปทานเปิดขายใหม่ทั้งหมดสามารถขายได้เพียง 2,110 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายเฉลี่ย 37% เท่านั้น!
แม้จะยังไม่เรียกว่า “แย่” ในเชิงตัวเลข ถือว่าห่างไกลจากภาพของตลาดคอนโดมิเนียมในยุคทอง ที่อัตราการขายช่วงเปิดตัวเคยพุ่งสูงถึง 60–70% อย่างต่อเนื่อง และตัวเลขเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงข้อมูลธรรมดา
นี่คือ กระจกสะท้อนความเป็นจริงชุดใหม่ที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญอย่างตรงไปตรงมา ความเป็นจริงที่ผู้บริโภคไม่ได้ตัดสินใจซื้อจากแค่ราคาถูกหรือทำเลใกล้รถไฟฟ้าอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาเป็นดีมานด์เฉพาะกลุ่มที่มองหาสิ่งที่ตอบโจทย์เฉพาะตัวมากกว่า ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ มีพฤติกรรมที่แตกต่าง
นั่นหมายความว่า ในยุคที่ตลาดไม่ใช่ผู้ขายเป็นฝ่ายเลือกอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นผู้ซื้อเป็นผู้มีอำนาจตัดสินอย่างแท้จริง ผู้พัฒนาจึงต้องยกระดับความเข้าใจผู้บริโภคให้ลึกขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่การแข่งขันไม่ใช่เรื่องของ“ใครเปิดก่อน ใครถูกกว่า” แต่คือ “ใครเข้าใจความต้องการของลูกค้ามากกว่ากัน” และ “ใครสามารถเปลี่ยนโครงการหนึ่งให้กลายเป็นการใช้ชีวิตที่คนอยากเป็นเจ้าของ
ดังนั้น ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2568 ไม่ใช่ตลาดที่ใครเข้ามาก็ขายได้อีกต่อไป หากไม่มีจุดขายที่ชัดเจน เข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย และไม่มีความเข้าใจในบริบทใหม่ของผู้บริโภค โครงการเหล่านั้นจะถูกกลืนหายไปในตลาดที่แน่นขนัดด้วยตัวเลือก ในวันที่ลูกค้าไม่ได้เลือกแค่ “คอนโด” แต่เลือก “ชีวิต” ที่ต้องการ การเข้าใจความฝันของเขาให้ได้ก่อน คือ จุดเริ่มต้นของการขายที่ยั่งยืน
คอนโด ที่วัดจาก คุณค่าที่จับต้องได้” มากกว่าราคาที่ถูกที่สุด
แม้สภาพเศรษฐกิจยังท้าทาย แต่ผู้ซื้อยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพมากกว่าการประหยัดต้นทุน
ตัวอย่างของคุณค่าที่คนมองหา : วัสดุคุณภาพสูงที่ยั่งยืน, ฟังก์ชันที่ยืดหยุ่น เช่น พื้นที่ทำงาน Work From Home, ระบบ Smart Home ที่ใช้งานได้จริง, บริการหลังการขายที่ใส่ใจ
และด้วยไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ คอนโดต้องตอบโจทย์มากกว่าที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคยุค 2568 คาดหวังมากกว่าการมี “ห้องพัก” แต่ต้องการที่พักที่ช่วย “เติมเต็มชีวิต” เช่น Co-working space & Co-living lounge, Fitness แบบครบวงจร + Wellness Zone, Pet-friendly space, ระบบจัดการพัสดุแบบอัตโนมัติ
แม้ทำเลใจกลางเมืองจะยังเป็นที่สนใจ แต่ในปี 2568 ไม่จำเป็นต้อง “ใจกลางเมือง” ขอแค่ “ใช้ชีวิตได้จริง” ทำเลทองแบบใหม่ คือ พื้นที่ที่สามารถใช้ชีวิตได้ โดยไม่ต้องเดินทางไกล
อีกทั้ง Sustainability และ Green Living คือ “มาตรฐานใหม่” ของคอนโดที่ออกแบบอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบประหยัดพลังงาน พื้นที่สีเขียวภายในโครงการการจัดการขยะและน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ วัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืน ทุกปัจจัยล้วนมีผลต่อการตัดสินใจทั้งสิ้น
การลงทุนคอนโดปี 2568 ต้องเน้น “ปล่อยเช่าง่าย อยู่เองได้”
แม้แนวโน้มการลงทุนอสังหาจะไม่หวือหวาเหมือนอดีต แต่ “คอนโดที่อยู่เองได้ดี ปล่อยเช่าง่าย” ยังคงมีดีมานด์สูง คอนโดขนาด 1-2 ห้องนอน มีพื้นที่ใช้สอยคุ้มค่า โครงการที่บริหารจัดการดี มีบริการครบ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางสมเหตุสมผล นักลงทุนมักมองหาคอนโดที่ “ขายออกง่าย + ปล่อยเช่าไว” จะช่วยลดความเสี่ยงระยะยาว
สรุปส่งท้าย เทรนด์คอนโดปี 2568 ไม่ใช่แค่ “ซื้อให้ถูก” แต่ต้อง “ซื้อให้ใช่” เพราะตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2568 กำลังเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ผู้บริโภคไม่ใช่แค่นักลงทุน แต่คือคนที่มองหาความสุขระยะยาวจากการอยู่อาศัย ใครที่เข้าใจพฤติกรรมนี้ก่อน มีโอกาสชนะทั้งยอดขายและความไว้วางใจนั่นเอง…
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
อยาก ซื้อคอนโด 5 ล้าน ใกล้รถไฟฟ้าเป็นของตัวเอง แต่ไม่แน่ใจว่า… ต้องมีเงินเดือนเท่าไรถึงจะซื้อได้?
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังวางแผนซื้อคอนโดมิเนียมเป็นทรัพย์สินชิ้นแรกในชีวิต ราคาคอนโดประมาณ 5 ล้านบาท ถือว่าเป็นระดับกลางถึงสูงที่หลายคนกำลังเล็งไว้ โดยเฉพาะในทำเลดี ๆ ใจกลางเมืองหรือใกล้รถไฟฟ้า แต่คำถามสำคัญคือ “ต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะซื้อคอนโดราคา 5 ล้านได้?” แต่ถ้าคุณได้อ่านบทความนี้ การซื้อคอนโดราคาประมาณ 5 ล้านบาทต้นๆ ถือเป็นเป้าหมายที่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ…
แต่ต้องเตรียมตัวทั้งเรื่องรายได้ เงื่อนไขกู้ยืม รวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหลังซื้อ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ไว้ก่อนตัดสินใจ บทความนี้จะมาอธิบาย เพื่อเป็นแนบทางให้คุณไปถึงเป้าหมายการเป็นเจ้าของคอนโดได้อย่างตั้งใจ!
กู้เงินซื้อคอนโด 5 ล้าน ต้องมีเงินเดือนเท่าไร?
การคำนวณรายได้เป็นขั้นตอนสำคัญในการวางแผนซื้อคอนโด โดยเฉพาะหากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาหนี้สินเกินตัว
- ภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) : ธนาคารทั่วไปมักกำหนดให้ภาระหนี้ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินเดือน 100,000 บาท คุณสามารถผ่อนชำระหนี้ได้ประมาณ 40,000 บาท
- คำนวณค่างวดผ่อนชำระ : ปัจจุบันการผ่อนคอนโดมักอยู่ที่ล้านละ 7,000 บาทต่อเดือน ซึ่งหมายความว่าคอนโดราคา 5 ล้านบาท จะมีค่างวดประมาณ 35,000 บาทต่อเดือน ดังนั้น รายได้ขั้นต่ำที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 85,000 บาทต่อเดือน
- กรณีรายได้ไม่ถึง : หากรายได้ของคุณต่ำกว่าที่กำหนด การกู้ร่วมเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้กู้ได้สำเร็จ เช่น กู้ร่วมกับคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัว โดยนำรายได้รวมมาคำนวณ
ค่าใช้จ่ายที่ต้องเผื่อไว้หลังจากกู้คอนโดผ่าน
พอจะเห็นภาพกันแล้วว่า… หากต้องการซื้อคอนโดในราคา 5 ล้านบาท ควรมีเงินเดือนเท่าไร เพื่อประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ควรเตรียมไว้ให้พร้อมด้วย ในกรณีที่ขอกู้ซื้อคอนโดผ่านเรียบร้อย
- เงินดาวน์ : โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 10% ของราคาคอนโด เช่น คอนโดราคา 5 ล้านบาท จะต้องมีเงินดาวน์ประมาณ 500,000 บาท
- ค่าตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ : ควรเผื่องบประมาณเพิ่มเติม 5-10% ของราคาห้องสำหรับตกแต่ง อาจใช้เงินเพิ่มอีก 150,000-300,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ : ประกอบด้วยค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง ค่าส่วนกลาง และค่าประกันหนี้ที่มักมีเงื่อนไขตามที่ธนาคารกำหนด
แล้วคอนแบบไหนเหมาะกับคุณ? คอนโดมือหนึ่งหรือมือสอง!
การเลือกซื้อคอนโด เป็นการตัดสินใจที่สำคัญมากในชีวิต ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของผู้ซื้อ แต่หลายคนมักมีคำถามว่า ควรเลือกคอนโดมือหนึ่งหรือมือสองดี เพราะทั้งสองตัวเลือกมีข้อดีที่แตกต่างกัน มาดูรายละเอียดกันเลย
ข้อดีของคอนโดมือหนึ่ง
- สภาพใหม่เอี่ยม : คอนโดมือหนึ่งมาพร้อมกับสภาพห้องและอาคารที่ใหม่หมดจด ผู้ซื้อไม่ต้องกังวลเรื่องการซ่อมแซมหรือปรับปรุงในระยะแรก ใช้งานได้ทันทีพร้อมคุณภาพที่ยังสมบูรณ์
- ฟังก์ชันทันสมัย : โครงการใหม่มักออกแบบพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ระบบสมาร์ทโฮม หรือพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้งานได้หลากหลาย
- โปรโมชันจากโครงการ : โครงการคอนโดมือหนึ่งมักมีข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลด ราคาเปิดตัว เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งครบชุด หรือข้อเสนอผ่อนดอกเบี้ยต่ำในช่วงแรก ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะเริ่มต้นได้
ข้อดีของคอนโดมือสอง
- ราคาที่เข้าถึงได้ง่าย : คอนโดมือสองมักมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าคอนโดมือหนึ่ง เนื่องจากเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ผู้ซื้ออาจพบตัวเลือกที่เหมาะสมในงบประมาณจำกัด
- ทำเลดีในราคาที่คุ้มค่า : คอนโดมือสองมักตั้งอยู่ในทำเลที่ดี เช่น ใกล้รถไฟฟ้า ใจกลางเมือง หรือพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครบครัน ซึ่งคอนโดมือหนึ่งในทำเลเดียวกันอาจมีราคาสูงกว่า
- ได้แปลนห้องที่กว้างกว่า : คอนโดมือสองมักมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย เช่น มีขนาดห้องที่กว้างขวางมากกว่า ทำให้แปลนห้องมีการจัดสรรที่ลงตัวกว่าคอนโดสร้างใหม่ในปัจจุบัน ที่มักเน้นการประหยัดพื้นที่
เลือกแบบไหนเหมาะกับคุณ?
หากคุณต้องการความสะดวกสบายทันสมัย และไม่อยากยุ่งยากกับการซ่อมแซม คอนโดมือหนึ่งอาจเป็นคำตอบ แต่ถ้าหากคุณมองหาทำเลที่ดีในราคาย่อมเยา และสามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ปรับปรุงซ่อมแซมได้ คอนโดมือสองก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ควรพิจารณาความต้องการส่วนตัวและงบประมาณที่ตั้งไว้ด้วย เพื่อให้คุณได้คอนโดที่เหมาะสมกับชีวิตและการเงินมากที่สุด
สรุปส่งท้าย ซื้อคอนโด 5 ล้าน ควรมีเงินเดือนอย่างน้อย 85,000 บาทขึ้นไป และมีประวัติการเงินดี ไม่มีหนี้สินอื่นที่หนักจนเกินไป หากคุณมีเป้าหมายนี้ในใจ ลองวางแผนการเงินล่วงหน้า และเริ่มเก็บเงินดาวน์ไว้ตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้การมีบ้านในฝันเป็นจริงได้เร็วขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง : เงินเดือน 30,000 บาท กู้ซื้อบ้านได้ไหม กู้ได้เท่าไร คำนวณได้อย่างไร?. จากเว็บไซต์ของ K-Property
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
กำลังจะซื้อบ้านหรือคอนโด แล้วสงสัยว่า… ควร ไปดูบ้านช่วงไหนดี เวลาใด ถึงจะเห็นข้อดีข้อเสียครบ!! เวลาที่ไปดูโครงการจริง มีผลมากกับการตัดสินใจ เพราะบางสิ่งบางอย่างจะ “เห็นชัด” เฉพาะในบางช่วงเวลาเท่านั้น!
บทความนี้ Amber จะพาคุณวิเคราะห์ว่า… ควรไปดูบ้าน-คอนโดช่วงไหนถึงจะ “ดีที่สุด”
ทั้งในแง่แสง เสียง บรรยากาศ และความคึกคักของทำเล
- ช่วงเวลา ไปดูบ้าน-คอนโด ตอน เช้า vs บ่าย vs เย็น
เช้า (08:00–11:00) – บรรยากาศเงียบสงบ
- ดีสำหรับดูแสงแดดทิศตะวันออก
- เหมาะกับคนที่อยากรู้ว่าห้องร้อนเร็วไหม
- โครงการยังไม่พลุกพล่าน พนักงานมีเวลาพาเดินดูเต็มที่
บ่าย (13:00–16:00) – รู้เลยว่า “แดดจัด” แค่ไหน
- ถ้าบ้านหรือคอนโดหันหน้าไปทางทิศตะวันตก จะรู้เลยว่าร้อนแค่ไหน
- ดีสำหรับเช็กเรื่องแสงแดด ความร้อน ความชื้น
เย็น (17:00–19:00) – เช็กสภาพการจราจร-เสียงรบกวน
- เวลาคนกลับบ้าน รถเริ่มติด
- เหมาะกับดูสภาพแวดล้อมรอบโครงการ เช่น เสียงรถ เสียงคน เสียงร้านค้า
- เห็นได้ว่าพื้นที่รอบๆ ปลอดภัยไหม มืดหรือไม่?
- วันในสัปดาห์ ไปดูบ้าน-คอนโด วันธรรมดา vs เสาร์อาทิตย์
วันธรรมดา
- เงียบสงบ พนักงานมีเวลาบริการ
- เห็นการใช้งานของพื้นที่ในช่วงไม่มีคนพลุกพล่าน
- เหมาะกับคนที่มีเวลายืดหยุ่น
วันเสาร์–อาทิตย์
- โครงการส่วนใหญ่เปิดครบ มีพนักงานพร้อม
- บางโครงการจัดโปรโมชั่นหรือเปิดให้ชมแบบบ้านตัวอย่างพิเศษ
- แต่คนเยอะ อาจต้องรอคิว หรือดูได้ไม่ทั่วถึง
- ช่วงฤดูกาล หน้าฝนก็ดูบ้าน-คอนโดได้ แถมดีด้วยซ้ำ!
หลายคนคิดว่าหน้าฝนไม่ควรดูบ้าน-คอนโดช่วงนี้ แต่จริงๆ แล้ว… เป็นโอกาสดีมาก! เพราะจะได้เห็น พื้นที่น้ำท่วมไหม?, รางระบายน้ำทำงานดีหรือเปล่า, เพื่อนบ้านมีปัญหาน้ำรั่ว น้ำขังหรือไม่?
ในทางกลับกัน หน้าร้อนจะช่วยให้รู้ว่าห้องอับไหม ระบายอากาศดีหรือเปล่า
หน้าหนาวก็เหมาะกับดูแสงเงาและบรรยากาศโดยรวมของพื้นที่
เคล็ดลับเพิ่มเติม : ถ้าสนใจโครงการไหนจริงๆ ให้ลองไปดู 2–3 ช่วงเวลา เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง และอย่าลืมสังเกตเสียงรบกวน เช่น เสียงจากถนน, โรงงาน, ร้านค้า ถ่ายรูปและจดบันทึกไว้ทุกครั้งที่ไปดูบ้าน-คอนโด จะได้ไม่สับสนเวลาเปรียบเทียบหลายๆ โครงการ
สรุปส่งท้าย ควร ไปดูบ้านช่วงไหนดี การตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยถาวร ควรไปดูบ้าน-คอนโดหลายๆช่วงเวลา จะดีที่สุด เพื่อสังเกตปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่าง แสงแดด เสียงรบกวน การจราจร สภาพแวดล้อมโดยรอบ อีกทั้งการไปดูให้วันธรรมดา และวันเสาร์อาทิตย์อาจจะได้ราคาโปรโมชั่นที่แตกต่างกันก็ได้ ถ้าชอบจริงๆ แนะนำไปดูหลายๆ รอบได้เลยค่ะ และการเลือกช่วงเวลาให้เหมาะ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น อย่าตัดสินบ้าน-คอนโดจากแค่ภาพรวมช่วงเดียว เพราะบ้าน-คอนโด คือ การอยู่จริงในทุกช่วงเวลา…
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
สำหรับมนุษย์เงินเดือนมือใหม่ หรือ First Jobber ที่กำลังอยู่ในช่วงมองหาคอนโดห้องแรก ในราคาหลักล้านต้นๆ คงมีคำถามว่า First Jobber อยู่คอนโด ทำเลไหนดี ที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า เดินทางง่าย ไปทำงานสะดวก และรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน
“ทำเลใกล้รถไฟฟ้า” ถือเป็นทำเลที่ตอบโจทย์อย่างรอบด้าน บทความนี้ Amber จะพาไปดูถึง 5 ทำเลคอนโดใกล้รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ สำหรับวัยสร้างตัว
เริ่มต้นชีวิตการทำงาน ก็ต้องเลือกที่อยู่ให้ตอบโจทย์! เมื่อต้องก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานเต็มตัว หนึ่งในคำถามที่ First Jobber หลายคนสงสัยก็คือ “จะอยู่คอนโดโซนไหนดี?” โดยเฉพาะถ้าทำงานในกรุงเทพฯ ที่มีทั้งข้อดีเรื่องโอกาสงาน และข้อเสียอย่างปัญหาการจราจร ถ้าเลือกทำเลผิด ชีวิตอาจจะหมดแรงตั้งแต่ยังไม่ถึงที่ทำงานเลยก็ได้
และ 5 โซนแนะนำสำหรับ First Jobber ที่กำลังมองหาคอนโด มีดังนี้
- อารีย์ – สะพานควาย (สายสีเขียวเข้ม)
- เหมาะกับ: คนทำงานออฟฟิศ ย่านพหลโยธิน-พระราม 6
- จุดเด่น: คาเฟ่เยอะ เดินทางสะดวก ชุมชนน่าอยู่
- ราคาเริ่มต้น: 3.5–5.5 ล้านบาท (โครงการใหม่), มีห้องเช่าหลายระดับ
- พระราม 9 – ห้วยขวาง (MRT สายสีน้ำเงิน)
- เหมาะกับ: คนทำงานในย่านธุรกิจ, สื่อสารมวลชน, ครีเอทีฟ
- จุดเด่น: ใกล้แหล่งงานทั้งอโศก รัชดา เดินทางง่าย มีห้างและไลฟ์สไตล์ครบ
- ราคาเริ่มต้น: 2.5–4 ล้านบาท / ค่าเช่าเริ่มราว 12,000 บาท
- บางนา – แบริ่ง – สำโรง (สายสีเขียวต่อ BTS)
- เหมาะกับ: คนทำงานนิคมฯ, โรงงาน, หรือออฟฟิศโซนบางนา
- จุดเด่น: ราคายังไม่สูงมาก ทำเลกำลังเติบโต ใกล้เมกะบางนา
- ราคาเริ่มต้น: 1.8–3 ล้านบาท / มีห้องเช่าหลักพันปลาย
- จตุจักร – ลาดพร้าว (MRT + BTS สายสีเหลือง/น้ำเงิน)
- เหมาะกับ: คนที่ต้องเดินทางหลายสาย, ฟรีแลนซ์, นักออกแบบ
- จุดเด่น: ต่อรถสะดวก, มีตลาด, แหล่งของกิน
- ราคาเริ่มต้น: 2.5–4 ล้านบาท / เช่าเริ่ม 8,000–12,000 บาท
- สุขุมวิทตอนต้น – พระโขนง – อ่อนนุช (BTS สายสุขุมวิท)
- เหมาะกับ: คนทำงานอโศก ทองหล่อ เอกมัย
- จุดเด่น: ไลฟ์สไตล์ดี ใกล้ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ใกล้ห้าง ใกล้ร้านอาหารดังๆ
- ราคาเริ่มต้น: 4–10 ล้านบาท (มีคอนโดมือสองน่าสนใจ), เช่าเริ่มต้นประมาณ 15,000–30,000 บาท
เทคนิคการเลือกคอนโดสำหรับ First Jobber
- ใกล้ที่ทำงานหรือใกล้รถไฟฟ้า – ลดเวลาเดินทาง เพิ่มเวลาพักผ่อน
- มีร้านค้าและร้านอาหารใกล้ๆ – จะได้ไม่เหนื่อยหลังเลิกงาน
- คอนโดไม่ต้องใหม่มาก แต่ปลอดภัย – คุมงบประมาณไว้ เผื่ออนาคตเปลี่ยนงาน
- มีพื้นที่ส่วนกลางน่าใช้งาน – ฟิตเนส สระว่ายน้ำ หรือ Co-working Space
- เช็คค่าส่วนกลางและค่าใช้จ่ายแฝง – เผื่อไว้ในรายจ่ายประจำ
สรุปส่งท้าย เลือกคอนโดในโซนที่ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ = เริ่มต้นชีวิตการทำงานอย่างมีคุณภาพ
การเลือกคอนโดไม่ใช่แค่เรื่องของที่อยู่อาศัย แต่เป็นการลงทุนกับ “คุณภาพชีวิต” โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นทำงาน ถ้า First Jobber อยู่คอนโด ก็ควรเลือกทำเลที่ตอบโจทย์ ก็จะช่วยลดความเครียด เพิ่มความสุข และอาจช่วยให้คุณก้าวหน้าในสายงานได้ไวขึ้นอีกด้วย
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
เมื่อผ่อนบ้านไปได้สักพัก หลายคนเริ่มมองหาวิธีลดดอกเบี้ย เพื่อให้ภาระการผ่อนเบาลง และ ประหยัดดอกเบี้ย ในระยะยาว และมีสองทางเลือกยอดฮิต นั่นก็คือ ” รีเทนชั่น (Retention) และ รีไฟแนนซ์ (Refinance)” แต่หลายคนยังสับสนว่า… แบบไหนดีกว่ากัน? ต่างกันตรงไหน? วันนี้ Amber มีคำตอบชัดๆ มาให้ค่ะ!
รีเทนชั่น (Retention) คืออะไร?
รีเทนชั่น คือ การต่อรองอัตราดอกเบี้ย กับธนาคารเดิมที่คุณผ่อนอยู่ เปรียบเหมือนการเจรจาขอลดดอกเบี้ยโดยไม่ต้องย้ายธนาคาร ไม่เสียค่าธรรมเนียม ไม่เสียเวลายื่นเอกสารใหม่เยอะ
ข้อดี
- ไม่ต้องย้ายหนี้ไปธนาคารใหม่
- ประหยัดค่าใช้จ่าย (ไม่มีค่าประเมิน, ค่าธรรมเนียม ฯลฯ)
- รวดเร็วกว่ารีไฟแนนซ์
- ถ้าประวัติดี มีโอกาสได้ดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกลง
ข้อเสีย
- ธนาคารอาจไม่อนุมัติถ้าไม่มีคู่แข่งมาเปรียบเทียบ
- ดอกเบี้ยที่ได้อาจไม่ถูกเท่าการรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่น
รีไฟแนนซ์ (Refinance) คืออะไร?
รีไฟแนนซ์คือ การย้ายภาระหนี้บ้านจากธนาคารเดิม ไปยัง ธนาคารใหม่ ที่ให้ดอกเบี้ยดีกว่า เพื่อประหยัดเงินในระยะยาว
ข้อดี
- ได้ดอกเบี้ยใหม่ที่มักถูกกว่าเดิม
- บางธนาคารมีโปรโมชั่น เช่น ฟรีค่าธรรมเนียม หรือให้เงินคืน (Cashback)
- ปรับโครงสร้างหนี้ได้ เช่น ยืดระยะเวลาผ่อนให้สบายขึ้น
ข้อเสีย
- มีขั้นตอนเอกสารเยอะ ต้องประเมินหลักทรัพย์ใหม่
- เสียค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าจดจำนอง ค่าธรรมเนียมทำนิติกรรม
- ใช้เวลานานกว่าการรีเทนชั่น (ปกติ 30–60 วัน)
เปรียบเทียบ รีเทนชั่น VSรีไฟแนนซ์
รีเทนชั่น
- ดอกเบี้ย : ลดได้พอสมควร
- ความเร็ว : เร็วกว่า
- ค่าใช้จ่าย : แทบไม่มี
- ความยุ่งยาก : น้อย ไม่ต้องประเมินทรัพย์ใหม่
- ความเสี่ยงในการไม่อนุมัติ : ต่ำ
รีไฟแนนซ์
- ดอกเบี้ย : มักได้ดอกเบี้ยต่ำที่สุด
- ความเร็ว : ใช้เวลานานกว่า (ประมาณ 1–2 เดือน)
- ค่าใช้จ่าย : มีค่าใช้จ่ายหลายรายการ
- ความยุ่งยาก : เอกสารเยอะ ต้องประเมินทรัพย์ใหม่
- ความเสี่ยงในการไม่อนุมัติ : อาจถูกปฏิเสธหากเครดิตไม่ดี
แล้วควรเลือกรีเทนชั่นหรือรีไฟแนนซ์?
- ถ้าเป็นคุณ ต้องการลดดอกเบี้ยแบบเร็วๆ ไม่อยากยุ่งเอกสาร เลือก รีเทนชั่น คือตัวเลือกที่ดี
- ถ้าคุณยินดีจัดการเอกสาร และอยากได้ดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในตลาดรีไฟแนนซ์ อาจคุ้มค่ากว่าในระยะยาว
ก่อนตัดสินใจ ลองเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากหลายธนาคาร และลองยื่น “รีเทนชั่น” กับธนาคารเดิมก่อนก็ได้ ถ้าได้ดอกเบี้ยไม่ดีค่อย “รีไฟแนนซ์” ก็ยังทัน!
สรุปส่งท้าย เลือกให้เหมาะกับสถานการณ์ของคุณ การเลือก รีเทนชั่น vs รีไฟแนนซ์ ไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคุณ งบประมาณ ความพร้อมในการจัดการเอกสาร ภาระค่าใช้จ่าย รวมถึงวิธีที่จะ ประหยัดดอกเบี้ย มากที่สุดด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าปล่อยให้ดอกเบี้ยบ้านแพงอยู่ตลอดไป ทั้งสองวิธีนี้ช่วยให้คุณประหยัดเงินหลักแสนได้ในระยะยาว…
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
ทำเลอโศก ถือเป็นหนึ่งใน ทำเลศักยภาพสูงสุดของกรุงเทพฯ ที่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์และผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองต่างให้ความสนใจอยู่เสมอ แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ “อโศก” ก็ยังคงเป็นชื่อที่สะท้อนถึงความสะดวก สบาย คุ้มค่า และมีอนาคตในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง วันนี้ Amber จะพาคุณมาส่อง 4 จุดแข็งที่ทำให้ แยกอโศก เป็น ทำเลทองตลอดกาล ที่ไม่ควรมองข้าม
- ศูนย์กลางคมนาคมครบทุกระบบ
อโศก คือ จุดตัดของระบบคมนาคมขนาดใหญ่ ทั้ง
- รถไฟฟ้า BTS สถานีอโศก
- รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสุขุมวิท
- ทางด่วนพิเศษ และถนนสายหลักอย่าง สุขุมวิท รัชดาภิเษก และเพชรบุรี
การเดินทางเชื่อมต่อได้หลากหลายทั้ง เข้าเมือง ออกเมือง หรือไปสนามบิน ส่งผลให้พื้นที่นี้เหมาะกับทั้งผู้อยู่อาศัยและสำนักงานธุรกิจ
- แหล่งรวมอาคารสำนักงาน และศูนย์กลางธุรกิจ (CBD)
อโศก ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ CBD กรุงเทพ (Central Business District) เต็มไปด้วยอาคารสำนักงานชั้นนำ เช่น Exchange Tower, GMM Grammy Place, Interchange 21 ทำให้มีดีมานด์จากกลุ่มพนักงาน นักธุรกิจ และบริษัทข้ามชาติจำนวนมาก ส่งผลต่อค่าเช่าและราคาทรัพย์สินที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
- ใกล้ศูนย์การค้า โรงแรม โรงเรียนอินเตอร์
ทำเลอโศกล้อมรอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียมลักชูรี่ เช่น Terminal 21, Robinson สุขุมวิท, โรงเรียน NIST, Wells International School, โรงแรมระดับ 5 ดาวอย่าง The Westin, Sheraton Grande เหมาะทั้งกับครอบครัว นักท่องเที่ยว และกลุ่ม Expat ที่มองหาความสะดวกครบจบในที่เดียว
- มีศักยภาพในการเติบโตของราคาที่ดิน
ราคาที่ดินย่านอโศก มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยพื้นที่ที่มีจำกัดและความต้องการสูง โดยข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่า… ราคาต่อตารางวาในพื้นที่นี้สูงเกิน 1 ล้านบาท/ตร.ว. และยังมีแนวโน้มขึ้นอีก ด้วยโครงการพัฒนาใหม่ๆ ทั้งคอนโดมิเนียม สำนักงาน และโรงแรม
สรุปส่งท้าย ทำไม ทำเลอโศก ถึงเป็น “ทำเลดีตลอดกาล” ก็เพราะว่า… แยกอโศก เป็นมากกว่าทำเลกลางเมือง เพราะมันคือ ศูนย์กลางของการใช้ชีวิต การลงทุน และการเดินทาง หากคุณกำลังพิจารณาเลือกซื้อ-เช่าคอนโดมิเนียม หรือมองหาที่ดินลงทุนในระยะยาว “อโศก” คือ คำตอบที่ไม่เคยตกยุค
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
การ ปล่อยเช่า อสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโด บ้าน หรืออาคารพาณิชย์ เป็นหนึ่งในวิธีสร้างรายได้แบบ Passive Income ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยสูง แต่เมื่อจะเริ่มปล่อยเช่า หลายคนก็มักจะลังเลว่า… ควรจัดการเองดี หรือควรใช้บริการตัวแทน (Agent) ดีกว่ากัน?
ในบทความนี้เราจะพาไปเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของทั้งสองทางเลือก เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ปล่อยเช่าเอง
✅ ข้อดี:
- ประหยัดค่าคอมมิชชั่น : เจ้าของไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้กับนายหน้า โดยทั่วไป Agent จะเก็บค่าคอมฯ ประมาณครึ่งเดือนถึง 1 เดือนของค่าเช่า
- ควบคุมได้ทุกขั้นตอน : เจ้าของสามารถคัดกรองผู้เช่าเอง กำหนดข้อตกลง รวมถึงเจรจาเงื่อนไขได้โดยตรง
- เรียนรู้และเข้าใจการบริหารอสังหา : การปล่อยเช่าเองจะทำให้เจ้าของได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการ ทรัพย์สิน และพฤติกรรมผู้เช่า
❌ ข้อเสีย:
- เสียเวลาและพลังงาน : ต้องลงประกาศ ตอบคำถาม นัดดูห้อง คัดกรองผู้เช่าเองทั้งหมด
เสี่ยงเจอผู้เช่าไม่ดี
- หากขาดประสบการณ์ อาจพลาดคัดกรองผู้เช่าที่ไม่เหมาะสม เช่น ไม่จ่ายค่าเช่า หรือทำทรัพย์สินเสียหาย
- ต้องจัดการเรื่องเอกสารและกฎหมายเอง ทั้งสัญญาเช่า การเก็บเงินมัดจำ การแจ้งภาษี ฯลฯ เจ้าของต้องศึกษาและจัดการเองทั้งหมด
แต่หาก ปล่อยเช่าผ่าน Agent
✅ ข้อดี:
- สะดวก ประหยัดเวลา : Agent จะช่วยดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่หาผู้เช่า พาไปดูห้อง ไปจนถึงจัดการเอกสารสัญญา
- เข้าถึงผู้เช่ากลุ่มเป้าหมายเร็วกว่า : ด้วยเครือข่ายและประสบการณ์ Agent มักมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ทำให้ปล่อยเช่าได้เร็วขึ้น
- มีความเป็นมืออาชีพ : Agent ที่เชี่ยวชาญจะสามารถให้คำปรึกษาเรื่องราคา เงื่อนไขการเช่า และช่วยคัดกรองผู้เช่าได้ดี
❌ ข้อเสีย:
- ต้องเสียค่าคอมมิชชั่น : โดยทั่วไปคือค่าเช่า 1 เดือน สำหรับสัญญาเช่า 1 ปี
- ขาดการควบคุมโดยตรง : บางครั้ง Agent อาจไม่ได้แจ้งรายละเอียดทั้งหมด ทำให้เจ้าของรู้ข้อมูลล่าช้า หรือไม่ครบถ้วน
- คุณภาพ Agent แตกต่างกัน : หากเลือก Agent ไม่ดี อาจเจอปัญหา เช่น บริการไม่ครบถ้วน หรือมีการเอาเปรียบเจ้าของ
สรุปแล้ว… แบบไหนดีกว่ากันนะ Amber ทำภาพสรุปให้แล้ว เพื่อที่จะเข้าใจได้ง่าย

การผ่าน Agent เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและลดความยุ่งยากในทุกขั้นตอน แม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ทั้งการ ปล่อยเช่า เองและการใช้บริการเอเจนต์ต่างมีข้อดีและข้อเสียในแบบของตัวเอง หากคุณมีเวลา ความรู้ และความพร้อมในการจัดการรายละเอียดต่าง ๆ การปล่อยเช่าเองอาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและให้คุณควบคุมทุกอย่างได้ตามต้องการ แต่ถ้าคุณต้องการความสะดวก ลดภาระงาน และได้รับความช่วยเหลือจากมืออาชีพ การปล่อยเช่าอสังหาฯ ผ่านเอเจนต์ก็เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์
ดังนั้น การเลือกวิธีใดจึงขึ้นอยู่กับความสะดวก ไลฟ์สไตล์ของคุณเองเป็นหลัก และสำหรับใครที่ตัดสินใจแล้วว่าจะลงประกาศ ปล่อยเช่า อสังหาฯ ด้วยตัวเอง คุณก็สามารถใช้บริการ Amber ประกาศขาย/เช่า อสังหาฯ ที่ใช้งานง่ายมากที่สุด มีทีมงานดูแลทุกขั้นตอน
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
คำถามที่หลายคนสงสัยตลอดเกี่ยวกับด้านอสังหาริมทรัพย์ ก็คือ กรรมสิทธิ์ ของผู้ซื้อที่จะได้จากคอนโดหรือห้องชุดนั้น คืออะไร? มีโฉนดหรือไม่? แล้วการซื้อคอนโด จะแตกต่างจากซื้อบ้าน หรือไม่?
และหากเกิดวินาศภัยขึ้นมา คนที่ซื้อบ้านก็ยังเหลือที่ดินที่มีมูลค่าในตัวของมัน แต่หากเป็นห้องชุด เมื่อเกิดเหตุการณ์จากภัยพิบัติ อย่างแผ่นดินไหว อาจจะไม่เหลืออะไรให้จับต้องเลยใช่ไหม
ดังนั้น การจะซื้อห้องชุดหรือบ้าน ต้องเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง และศึกษาเรื่องของกรรมสิทธิ์บ้านและห้องชุดให้ดีก่อนจะซื้อ
บทความนี้ Amber จะมาดูกันว่าแท้จริงแล้ว… ในแง่ของ “ความเป็นเจ้าของ” นั้น เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? ระหว่างการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ 2 ประเภทนี้ รวมถึงกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของห้องชุด เราจะได้มาตอนไหน และเมื่อเกิดความเสียหายของตัวอาคารแบบร้ายแรงในฐานะเจ้าของห้องชุด เราจะได้อะไรบ้าง
โฉนดที่ดินกับหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด
- โฉนดที่ดิน (น.ส.4)
ในการซื้อบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อโครงการที่สร้างใกล้เสร็จแล้วและสามารถย้ายเข้าอยู่ เพื่อทำการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ได้เลย สาเหตุที่ต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์เพราะเดิมเจ้าของยูนิตนั้นเป็นชื่อของบริษัทที่ทำโครงการนั้นๆ เมื่อเราซื้อความเป็นเจ้าของจะต้องเปลี่ยนมาเป็นของเรา แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนได้ทันทีเสมอโดยแยกเป็นกรณีดังนี้
- กรณีซื้อบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์โดยใช้เงินสดทั้งหมด จะสามารถโอนกรรมสิทธิ์เปลี่ยนชื่อเจ้าของในโฉนดให้กลายเป็นชื่อเรา โดยสามารถทำได้ และไปยังสำนักงานเขตที่โครงการนั้นตั้งอยู่ซึ่งเราต้องไปกับเจ้าหน้าที่ของโครงการด้วย และเอกสารโฉนดแสดงความเป็นเจ้าของฉบับจริงเราสามารถเก็บไว้ได้เลย
แต่ก่อนจะโอนกรรมสิทธิ์ อย่าลืมตรวจสอบห้อง เพื่อการรับโอนกรรมสิทธิ์ด้วยนะคะ
มีทริคเช็กง่ายๆ ตั้งแต่การตรวจรับถึงโอนกรรมสิทธิ์มีอะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ
- กรณีซื้อบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ โดยผ่านการกู้ธนาคาร หากเราต้องทำการกู้สถาบันการเงินในวันโอนกรรมสิทธิ์นั้น เราจะต้องไปสำนักงานเขตกับทางเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินผู้ที่ทำเรื่องกู้ให้เราด้วย ซึ่งกรรมสิทธิ์ในโฉนดจะเป็นชื่อของผู้ซื้อ แต่ติดภาระจำนองกับธนาคารที่กู้เงิน อย่างไรก็ตาม โฉนดตัวจริงทางสถาบันการเงินจะเป็นผู้เก็บโฉนดไว้ ส่วนเราจะได้เป็นตัวสำเนาแทน
รายละเอียดพื้นที่ดินที่ระบุไว้ในโฉนดทั้งหมดจะเป็นของเจ้าของที่มีชื่อปรากฏในโฉนดที่ดินเท่านั้น! ซึ่งเราเรียกโฉนดนี้ว่า น.ส.4 นั่นเอง ซึ่งเป็นโฉนดที่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้หรือพูดง่ายๆ ว่าเจ้าของสามารถขายบ้านหลังนั้นให้กับผู้อื่นได้นั่นเอง
- หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช. 2)
การซื้อห้องชุดนั้นจะแตกต่างกัน เพราะเราจะไม่ได้โฉนดเหมือนกับของบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ในข้างต้นแต่เราจะได้เป็น “หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดหรือ อ.ช.2” แทน
อย่างไรก็ตาม ในสัญญาซื้อขายจะระบุไว้ว่าเราคือ เจ้าของร่วม ของโครงการนั้นๆ สาเหตุที่ใช้คำนี้ก็เพราะว่าในโครงการยังมีพื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากพื้นที่อยู่อาศัยของลูกบ้านหรือที่เราคุ้นหูกับคำว่าส่วนกลางนั่นคือ พื้นที่ที่สามารถเข้าถึงโดยสิทธิ์ของลูกบ้านทุกคนที่อาศัยอยู่ในโครงการ และทุกคนมีส่วนรับผิดชอบต่อส่วนกลางนี้ โดยผ่านการจ่ายค่าส่วนกลางในแต่ละเดือนนั่นเองค่ะ
และสำหรับสิทธิ์ในเรื่องความเป็นเจ้าของกรณีจ่ายเงินสดด้วยตัวเองหรือกู้ผ่านสถาบันการเงินจะคล้ายกับกรณีของบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ นั่นคือ จะเป็นชื่อเราก็ต่อเมื่อเราชำระค่าบ้านทั้งหมดด้วยเงินส่วนตัวของเราหรือเป็นชื่อสถาบันการเงินกรณีขอสินเชื่อ
เอกสารสิทธิ์ที่ดินมีอะไรบ้าง?
มาทำความรู้จักเอกสารสิทธิ์ที่ดิน 6 ประเภท มีอะไรบ้าง แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร
โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้เมื่อไหร่
หากเป็นโครงการใหม่ยังไม่ได้ก่อสร้างหรือกำลังอยู่ในช่วงก่อสร้าง (พรีเซล) เราจะยังไม่สามารถทำการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดใดๆ ได้ แต่สิ่งที่เราทำในช่วงแรก คือ การจองและการทำสัญญา
โดยรายละเอียดของห้องชุด (ขนาดของห้อง, แปลนห้อง, วัสดุและสิ่งของที่จะได้รับ) ทั้งหมดนั้นตามกฎหมายจะต้องถูกระบุอยู่ในสัญญา และเราควรจะทำการอ่านสัญญาให้ดีเพราะเมื่อเราจรดปลายปากกาเซ็นชื่อเราไปแล้วจะเป็นหลักฐานที่ว่าเราได้อ่านสัญญาและเข้าใจเกี่ยวกับสัญญาดีแล้ว
หลังจากผ่านขั้นตอนการจองและทำสัญญาก็จะเข้าสู่ช่วงผ่อนดาวน์ ซึ่งยอดผ่อนดาวน์นี้จะต้องเป็นเงินก้อนสะสมของเราเองเพราะสถาบันการเงินไม่มีประเภทสินเชื่อกรณีผ่อนดาวน์นั่นเองซึ่งยอดผ่อนดาวน์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 10-30% ของราคาห้องชุด (สำหรับการซื้อห้องชุด สัญญาที่ 2 ขึ้นไป หรือซื้อห้องชุด สัญญาแรกที่มีราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป)
หลังจากที่เราผ่อนดาวน์หมดแล้ว ก็จะสามารถเข้าสู่ช่วงโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งจะสามารถทำการโอนได้ กรณีที่การก่อสร้างของโครงการนั้นแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ โดยตามกฎหมายกรณีที่การก่อสร้างของโครงการล่าช้าไม่เกินสองเดือน ผู้ซื้อไม่สามารถยกเลิกสัญญาแล้วขอเงินจองกับทำสัญญาคืนได้
อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายหากโครงการล่าช้าจากที่ระบุในสัญญาเป็นปีทางโครงการจะต้องคืนเงินมัดจำในจำนวนที่ได้ตกลงกันในสัญญาไว้ (จำไว้ว่าทุกอย่างต้องถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร) เมื่อโครงการแล้วเสร็จ เราจะต้องตรวจรับห้อง ซึ่งตามกฎหมายหากขนาดห้องคลาดเคลื่อนจะมากขึ้นหรือน้อยลงไม่เกิน 5% ของขนาดที่ระบุไว้ในสัญญา
ทางโครงการจะต้องปรับลดราคาในระดับต่อตารางเมตร แต่จะเป็นตารางเมตรละกี่บาทนั้นก็ต้องตรงกับที่ปรากฏในสัญญาด้วยจะระบุปากเปล่าไม่ได้เป็นอันขาด เช่นเดียวกันหากขนาดของห้องมากกว่าที่ระบุไว้แต่ไม่เกิน 5% ทางผู้ซื้อจะต้องจ่ายส่วนต่างในอัตราเดียวกันที่ระบุไว้ในสัญญา
หากสเปคของห้องชุดคลาดเคลื่อนอย่างมีนัยยะสำคัญหรือเกิน 5% จากขนาดที่ระบุไว้ในสัญญา ทางผู้ซื้อมีสิทธิที่จะขอเรียกเงินมัดจำคืนได้ แต่จะในอัตราเท่าไรนั้น ก็ต้องตรงตามที่ระบุในสัญญาด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อเราตรวจเพื่อรับโอนเรียบร้อย คราวนี้เราจะต้องไปที่สำนักงานเขตที่โครงการนั้นตั้งอยู่เช่นเดียวกัน หากเป็นเงินเราเองทั้งหมดก็จดกรรมสิทธิ์ห้องชุดเป็นชื่อของเราได้เลย แต่หากเป็นการกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงินในหนังสือกรรมสิทธิ์จะเป็นชื่อของสถาบันการเงินนั้นเช่นเดียวกับกรณีของบ้านและทาวน์เฮ้าส์ในข้างต้น
อย่างไรก็ตามทางสถาบันการเงินจะเก็บหนังสือกรรมสิทธิ์ฉบับจริงไว้ ส่วนเราจะได้เป็นตัวสำเนาแทน
กรณีที่คอนโดถูกทุบทิ้งหรือพังถล่ม ผู้ซื้อจะไม่เหลืออะไรจริงหรือไม่?
ส่วนใหญ่แล้วราคาต่อตารางเมตร ที่โครงการขายจะถูกผูกมากับจำนวนเงินที่โครงการนั้นจะต้องจ่ายในเรื่องของการทำประกันตัวอาคารกรณีเกิดวินาศภัย เช่น ไฟไหม้หรือแผ่นดินไหว
ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าโครงการไหนไม่มีการทำประกันตัวอาคารทางสถาบันการเงินจะไม่ปล่อยกู้ให้ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยกู้ให้ดีเวลลอปเปอร์ก่อสร้างโครงการหรือปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ซื้อที่สนใจในโครงการนั้นๆ
เมื่อเกิดวินาศภัยขึ้นมาจริงๆ จนส่งผลไปยังความเสียหายของตัวอาคาร ทางนิติบุคคลจะได้เงินประกันมาหนึ่งก้อนซึ่งจะถูกจัดสรรให้แก่ลูกบ้านตามกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงโดยคิดส่วนแบ่งได้จาก
จำนวนตารางเมตรของยูนิตของคุณ หารด้วยพื้นที่สุทธิทั้งหมดของโครงการ
สมมติว่า พื้นที่ทั้งหมดของโครงการ คือ 20,000 ตารางเมตร พื้นที่ของห้องคุณคือ 40 ตารางเมตร จะเท่ากับ (40 x 100) ÷ 20,000 = 0.2% นั่นคือสมมติว่าค่าเสียหายที่โครงการเรียกร้องได้จากบริษัทประกันคือ 1,000 ล้านบาท คุณจะได้เงินคืนประมาณ 2 ล้านบาทนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ทางนิติบุคคลสามารถเรียกประชุมลูกบ้าน เพื่อลงมติต่างๆ ได้ตั้งแต่ลงเสียง เพื่อกระจายเงินก้อนนี้ คืนหรือจะนำเงินก้อนที่ได้ไปซ่อมแซมหรือสร้างอาคารใหม่ โดยอาจจะลงมติกันว่าจะเพิ่มส่วนต่างเท่าไร
นอกจากนี้ในส่วนของที่ดินโครงการหากมีการขายต่อก็จะได้เงินจากการขายที่ดินมาแบ่งกันตามสัดส่วนการถือครองด้วยเช่นกัน
ประกันอัคคีภัยบ้าน
ประกันอัคคีภัยบ้าน 4 ข้อควรรู้ ทั้งเรื่องทุนประกัน เงื่อนไข ความคุ้มครอง และระยะเวลา
จะเห็นได้ว่า… ก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย คุณควรจะต้องอ่านสัญญาให้รอบคอบก่อนจรดปลายปากกายินยอมเงื่อนไขต่างๆ ที่ปรากฏในสัญญา รวมถึงสัญญาประเภทอื่นก็เช่นกัน เพราะเมื่อคุณเซ็นไปแล้วนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายหนึ่งสามารถอ้างได้เลยว่า คุณยินยอมและเข้าใจข้อต่างๆ ในสัญญาเป็นอย่างดีแล้วจึงทำการเซ็น
หากมีการฟ้องร้องกันขึ้นมาจริงๆ คุณจะเสียแต้มจากจุดนี้ หรือเพื่อเป็นการ play safe อาจจะพาผู้รู้ทางกฎหมายหรือผู้ที่เคยมีประสบการณ์การซื้อบ้านหรือห้องชุดมาก่อนไปด้วย เพื่อช่วยตีความสัญญานั่นเองค่ะ
สรุปส่งท้าย ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) กรรมสิทธิ์ ห้องชุด(คอนโด) คือ ส่วนหนึ่งของอาคารที่สามารถแยกการถือครองกรรมสิทธิ์เป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้อย่างเด็ดขาด พร้อมกับมี กรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลาง ด้วย เช่น ทางเดิน ลิฟต์ สระว่ายน้ำ ฯลฯ หากเกิดวินาศภัยขึ้นมาจริงๆ แล้วตัวอาคารได้รับความเสียหาย ลูกบ้านจะได้รับการจัดสรร ชดเชยเยียว คืนเงินตามกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงโดยคิดส่วนแบ่งได้จากจำนวนตารางเมตรของยูนิตของคุณ หารด้วยพื้นที่สุทธิทั้งหมดของโครงการ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันภัยและเงื่อนไขอื่นๆ ด้วยนะคะ
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
ในปัจจุบัน การ ซื้อคอนโดพร้อมอยู่ เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูง สำหรับคนที่ต้องการบ้านหลังแรก หรือแม้กระทั่งคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยใหม่ในเมืองที่สะดวกสบาย การเลือกซื้อคอนโดที่พร้อมอยู่ หรือคอนโดที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว มีข้อดีมากมายที่ทำให้หลายคนตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดพร้อมอยู่แทนการซื้อคอนโดที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ในบทความนี้ Amber จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการซื้อคอนโดพร้อมอยู่ว่ามีอะไรบ้าง?…
- ประหยัดเวลาและสะดวกสบาย
หนึ่งในข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดของการซื้อคอนโดพร้อมอยู่ คือ ความสะดวกสบาย เนื่องจากคอนโดที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว สามารถเข้าอยู่ได้ทันที หลังจากการทำสัญญาซื้อขายเสร็จสิ้น คุณไม่ต้องรอระยะเวลานานหลายเดือนหรือหลายปีเหมือนกับการซื้อคอนโดที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและทำให้คุณสามารถเริ่มต้นการใช้ชีวิตในบ้านใหม่ได้ทันที
การเข้าอยู่ทันที ยังช่วยให้คุณสามารถตกแต่งและปรับปรุงบ้านตามความต้องการได้ในทันที ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบได้ว่า… อุปกรณ์และระบบต่างๆ ภายในคอนโด เช่น ระบบไฟฟ้า, น้ำประปา, เครื่องปรับอากาศ และอื่นๆ ทำงานได้ตามปกติหรือไม่
- สภาพแวดล้อมและพื้นที่พร้อมใช้งาน
คอนโดที่พร้อมอยู่นั้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ใช้สอยที่พร้อมใช้งานได้ทันที เช่น ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, สวนหย่อม, หรือพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ ซึ่งบางโครงการอาจมีการออกแบบพื้นที่ที่ตอบโจทย์การใช้งานของคนที่ต้องการความสะดวกสบายในการพักอาศัย
นอกจากนี้การเลือกคอนโดพร้อมอยู่ ยังช่วยให้คุณสามารถเห็นสภาพแวดล้อมจริงของโครงการ เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ, การจราจรในพื้นที่ และการเดินทางสู่จุดหมายต่างๆ ที่สะดวกสบาย คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าคอนโดนั้นเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณหรือไม่
- ไม่มีความเสี่ยงจากการล่าช้าในการก่อสร้าง
การซื้อคอนโดที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์หรืออยู่ในระหว่างการก่อสร้าง อาจมีความเสี่ยงจากการล่าช้าในการส่งมอบโครงการ ซึ่งอาจทำให้คุณต้องรอนานกว่ากำหนด หรืออาจเกิดปัญหาต่างๆ ที่ไม่คาดคิดระหว่างการก่อสร้าง เช่น ปัญหาผู้รับเหมาหรือปัญหาด้านวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้คุณภาพ
แต่การซื้อคอนโดพร้อมอยู่จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ เพราะคอนโดที่เสร็จสมบูรณ์แล้วสามารถเข้าอยู่ได้ทันที โดยไม่มีความเสี่ยงจากการล่าช้าในการก่อสร้าง ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะได้บ้านใหม่ตามที่คาดหวัง
- สามารถตรวจสอบคุณภาพของคอนโดได้จริง
เมื่อคุณซื้อคอนโดที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณสามารถตรวจสอบคุณภาพของคอนโดได้จริง ซึ่งแตกต่างจากการซื้อคอนโดที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ที่อาจมีแค่แผนผังและภาพจำลองให้ดู คุณสามารถเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างชัดเจน เช่น วัสดุการก่อสร้าง, ความกว้างของห้อง, ความสะดวกในการใช้งาน และความสวยงามของพื้นที่
หากพบข้อบกพร่องหรือสิ่งที่ไม่ตรงตามที่คุณคาดหวัง คุณสามารถแจ้งให้กับผู้ขายหรือผู้พัฒนาโครงการ เพื่อให้มีการแก้ไขก่อนที่คุณจะย้ายเข้าอยู่
- การซื้อคอนโดพร้อมอยู่ช่วยลดความกังวล
การซื้อคอนโดที่พร้อมอยู่ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการก่อสร้างที่อาจล่าช้า หรือปัญหาการเปลี่ยนแปลงของแผนก่อสร้างหรือวัสดุที่ใช้ในโครงการ คุณสามารถมั่นใจได้ว่าคอนโดที่คุณเลือกซื้อมีคุณภาพตามที่ต้องการ และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งาน
อีกทั้ง ยังช่วยลดความเครียดที่เกิดจากการรอคอยวันโอนกรรมสิทธิ์ และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง
- มีความสามารถในการกำหนดงบประมาณได้ง่ายขึ้น
เมื่อคุณซื้อคอนโดที่พร้อมอยู่ คุณสามารถคำนวณงบประมาณที่ชัดเจนได้มากขึ้น เนื่องจากคุณสามารถทราบราคาขายที่แน่นอน รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง และค่าดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่างจากการซื้อคอนโดที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ที่คุณอาจต้องคำนวณค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการเปลี่ยนแปลงหรือความล่าช้าในการก่อสร้าง
สรุปส่งท้าย การ ซื้อคอนโดพร้อมอยู่ มีข้อดีหลายประการ ทั้งในแง่ของความสะดวกสบาย การประหยัดเวลา ความมั่นคงในด้านคุณภาพ และการลดความเสี่ยงจากปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้า นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณสามารถเข้าอยู่ได้ทันทีหลังการทำสัญญาซื้อขายเสร็จสิ้น หากคุณกำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน การซื้อคอนโดพร้อมอยู่เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและเหมาะสมกับความต้องการของคุณ
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
ชวนเช็คระดับความพร้อม ก่อนก้าวสู่ วัยเกษียณ อย่างมั่งคั่ง การวางแผนชีวิตในช่วงวัยเกษียณเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่หลายคนมักมองข้ามหรือเลื่อนออกไป จนกระทั่งถึงช่วงเวลาใกล้เกษียณจริงๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดและความไม่มั่นคงทางการเงินในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้คุณสามารถก้าวเข้าสู่วัยเกษียณด้วยความมั่งคั่งและมีความสุขในชีวิตที่ไร้กังวล บทความนี้ Amber จะพาคุณไปเช็คระดับความพร้อมก่อนการก้าวเข้าสู่ชีวิตหลังเกษียณ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการเตรียมตัว เพื่อความมั่งคั่งในอนาคต
- การประเมินสถานะทางการเงินปัจจุบัน
ก่อนที่จะเริ่มวางแผนสำหรับการเกษียณ คุณควรเริ่มต้นด้วยการประเมินสถานะทางการเงินของตัวเองในปัจจุบัน สิ่งที่ต้องทำคือการตรวจสอบรายได้, รายจ่าย, และหนี้สินที่มีอยู่ เช่น
- รายได้ คุณมีรายได้ประจำจากการทำงานหรือแหล่งรายได้อื่นๆ ที่มีความมั่นคงในอนาคตหรือไม่
- รายจ่าย คุณมีรายจ่ายประจำที่มั่นคง หรือสามารถควบคุมได้หรือไม่
- หนี้สิน คุณมีหนี้สินหรือภาระที่ยังไม่ได้ชำระหนี้หรือไม่
การรู้จักสถานะการเงินของตัวเอง จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดเป้าหมายทางการเงินในอนาคตได้อย่างชัดเจนและมีความเป็นจริงมากขึ้น
- การวางแผนการออมและการลงทุนเพื่อการเกษียณ
การวางแผนการออมและการลงทุนเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาวให้กับตัวเอง การออมเงินในกองทุนบำเหน็จบำนาญหรือกองทุนการเกษียณ (Provident Fund, Retirement Mutual Fund) จะช่วยให้คุณมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ
ในส่วนของการลงทุน ควรพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากธนาคาร เช่น
- หุ้น การลงทุนในตลาดหุ้นสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนในระยะยาว
- พันธบัตรรัฐบาล การลงทุนในพันธบัตรช่วยลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
- อสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น การซื้อบ้านหรือที่ดินสามารถสร้างรายได้เสริมหรือกำไรในอนาคต
ควรเริ่มลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้เงินลงทุนเติบโตอย่างคุ้มค่าและเพียงพอต่อการเกษียณ
- คำนวณค่าใช้จ่ายในช่วงวัยเกษียณ
ในช่วงวัยเกษียณ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะไม่เหมือนกับตอนที่คุณยังทำงาน เช่น ไม่มีค่าเดินทางไปทำงาน หรือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูครอบครัว แต่ในขณะเดียวกันคุณอาจต้องการใช้เงินในกิจกรรมอื่นๆ เช่น ดูแลสุขภาพ อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในด้านการรักษาพยาบาลและการประกันสุขภาพ, ท่องเที่ยว บางคนอาจอยากเดินทางท่องเที่ยวหรือลงทุนในกิจกรรมใหม่ๆ หรือจะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัว แม้ในช่วงวัยเกษียณ บางคนอาจยังคงให้การสนับสนุนทางการเงินกับครอบครัว
การคำนวณค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการออมและการลงทุนให้ครอบคลุมความต้องการของชีวิตหลังเกษียณได้
- การตรวจสอบสถานะการประกันชีวิตและประกันสุขภาพ
ในช่วงชีวิตหลังเกษียณ การมีประกันชีวิตและประกันสุขภาพที่ครอบคลุม สามารถช่วยลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดได้ เนื่องจากการดูแลสุขภาพในวัยเกษียณอาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ทั้งนี้คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า ประกันสุขภาพของคุณครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ประกันชีวิตยังคงมีผลต่อการคุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด มีการอัปเดตกรมธรรม์ให้ตรงกับความต้องการในปัจจุบัน
การทำประกันที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณมีความมั่นคงทางการเงินและไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในอนาคต
- วางแผนการจัดการทรัพย์สินและการสืบทอด
การวางแผน สำหรับการจัดการทรัพย์สินในวัยเกษียณ รวมถึงการวางแผนสืบทอดทรัพย์สินให้กับครอบครัวหรือผู้ที่คุณรักเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยอาจต้องมีการจัดทำพินัยกรรมหรือการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เหมาะสม เช่น การตั้งกองทุนมรดกหรือการตั้งองค์กรเพื่อดูแลทรัพย์สิน
สรุปส่งท้าย การเตรียมตัวก่อนก้าวเข้าสู่ วัยเกษียณ เป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญและเริ่มต้นตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนการเงินที่ดี การออมและการลงทุนที่มีความยั่งยืน รวมถึงการเตรียมตัวสำหรับค่าใช้จ่ายในอนาคตจะช่วยให้คุณมีความมั่งคั่งในวัยเกษียณและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีความสุข จงเริ่มต้นวางแผนวันนี้ เพราะการเตรียมความพร้อมจะช่วยให้คุณก้าวเข้าสู่วัยเกษียณอย่างเต็มที่และมั่งคั่ง!
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
กฎหมายการออกแบบอาคาร ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์แผ่นดินไหวมีอะไรบ้าง หลายคนคงอยากรู้ เพราะเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา คงเป็นฝันร้ายของใครหลายๆคน ที่ต้องตกอยู่ในเหตุการณ์ไม่คาดคิด อย่างแผ่นดินไหว ที่นั่งทำงานอยู่ก็ต้องวิ่งลงจากตึก เพื่อเอาชีวิตรอด หรือแม้แต่ผู้โชคร้ายที่ตกอยู่ในเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม เป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจผู้คนในวงกว้าง และเหตุการณ์แบบนี้คงไม่มีอยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
และเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มีเรื่องอะไรบ้างที่เราควรรู้ หลายคนมุ่งประเด็นความสงสัยมาที่ตัวอาคาร แล้วอาคารที่ปลอดภัยต้องมีมาตราฐานอย่างไรบ้าง กฎหมายกำหนด ให้มีการใช้วัสดุแบบไหนบ้าง? วันนี้บทความนี้ Amber ได้รวบรวมกฎหมายการออกแบบอาคารเกี่ยวกับสถานการณ์แผ่นดินไหวมาฝากเพื่อนๆ เพื่อเป็นความรู้กันค่ะ
นอกจากอาคารที่สูงตระง่าแล้ว ความสำคัญในการสร้างอาคารที่ปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบัน ความปลอดภัยของอาคารในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหว เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่บนเขตแผ่นดินไหว ซึ่งมีความเสี่ยงจากการเกิดแผ่นดินไหวในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ดังนั้น การออกแบบอาคารให้สามารถรับมือกับแผ่นดินไหวได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นที่มาของกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการออกแบบอาคารในสถานการณ์ฉุกเฉินทางภัยพิบัตินั่นเอง
กฎหมายและมาตรฐานการออกแบบอาคารสำหรับแผ่นดินไหว
ในประเทศไทย กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการออกแบบอาคารที่ต้องสามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ มีการกำหนดใน “มาตรฐานการออกแบบโครงสร้างอาคารและสิ่งก่อสร้าง พ.ศ. 2558” ซึ่งมีการกำหนดข้อกำหนดในการออกแบบอาคาร เพื่อความปลอดภัยจากภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยมีการระบุให้ทุกอาคารที่มีความสูงเกิน 6 ชั้น ต้องมีการออกแบบที่สามารถรับมือกับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้
การออกแบบโครงสร้างอาคาร ที่สามารถทนแรงแผ่นดินไหว
การออกแบบโครงสร้างอาคารที่ทนทานต่อแผ่นดินไหว จำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายๆ อย่าง เช่น
- วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง วัสดุที่ใช้จะต้องมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างหลัก เช่น เสาและคาน
- การวิเคราะห์และคำนวณแรงที่กระทำ การคำนวณแรงแผ่นดินไหว จะต้องใช้ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ที่ตั้งของอาคาร การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก และความเร็วของแผ่นดินไหวในพื้นที่นั้นๆ
- ระบบโครงสร้างยืดหยุ่น การออกแบบให้มีระบบโครงสร้างที่สามารถยืดหยุ่นได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีระบบรองรับแรงแผ่นดินไหว (seismic dampers) หรือระบบกันกระแทก (shock absorbers) เพื่อช่วยลดการกระแทกจากแรงแผ่นดินไหว
กระทรวงมหาดไทยออก “กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2564″ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 เพื่อใช้บังคับแทนกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนักฯ ฉบับเดิม พ.ศ. 2550 โดยให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
กฎกระทรวงฉบับใหม่นี้ได้ปรับปรุงบริเวณที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันที่พบว่า… มีพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในประเทศมากขึ้น จากเดิมมี บริเวณเฝ้าระวัง บริเวณที่ 1 และบริเวณที่ 2 โดยแบ่งใหม่เป็น 3 บริเวณ ได้แก่
- บริเวณที่ 1 (เดิมคือ บริเวณเฝ้าระวัง) มี 14 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ชุมพร สงขลา สุราษฎร์ธานี โดยมีหลายจังหวัดที่เพิ่มเติมขึ้นมา ได้แก่ ตรัง นครพนม นครศรีธรรมราช บึงกาฬ ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก เพชรบุรี เลย สตูล และหนองคาย และมีบางจังหวัดที่ปรับย้ายไปเป็นบริเวณที่ 2 (พังงา ภูเก็ต ระนอง)
- บริเวณที่ 2 (เทียบได้กับ บริเวณที่ 1 เดิม) เป็นบริเวณที่อาจได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง มี 17 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร โดยมีจังหวัดที่ปรับย้ายมาจากบริเวณเฝ้าระวังเดิม คือ พังงา ภูเก็ต ระนอง และมีจังหวัดที่เพิ่มเติมขึ้นมา ได้แก่ กำแพงเพชร ชัยนาท นครปฐม นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี และอุทัยธานี
- บริเวณที่ 3 (เทียบได้กับ บริเวณที่ 2 เดิม) เป็นบริเวณที่อาจได้รับผลกระทบในระดับสูง มี 12 จังหวัด ได้แก่จังหวัดเดิม 10 จังหวัด คือ กาญจนบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และลำพูน และเพิ่มขึ้น 2 จังหวัด คือ สุโขทัย และอุตรดิตถ์
สำหรับประเภทอาคารที่ให้ใช้บังคับตามกฎกระทรวงฉบับนี้ ได้ปรับปรุงและเพิ่มเติมมากขึ้นในทั้งสามบริเวณ (ดูรายละเอียดในข้อ 4 ของกฎกระทรวง) ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับการออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคาร เพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ไม่ได้บรรจุไว้ในกฎกระทรวงฉบับนี้ แต่จะเป็นไปตามที่รัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมอาคารประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา หรือหลักเกณฑ์บางส่วนอาจเป็นไปตามที่มีการจัดทำขึ้น โดยส่วนราชการที่มีหน้าที่และอำนาจในเรื่องนั้น ซึ่งจะทำให้การปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่างๆ ให้มีความทันสมัยเป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยคาดว่าจะมีการออกประกาศกำหนดรายละเอียดเพื่อใช้ในการออกแบบและคำนวณภายในระยะเวลาก่อนการใช้บังคับกฎกระทรวงฉบับนี้
กฎกระทรวง: https://download.asa.or.th/03media/04law/cba/mr/mr64-68b.pdf
ประกาศจากกฎกระทรวง: https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/275/T_0016.PDF
ผลกระทบของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายการออกแบบ
การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อความปลอดภัยจากแผ่นดินไหว สามารถส่งผลร้ายแรงได้ โดยเฉพาะหากเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ที่ไม่พร้อมรับมือกับแรงสั่นสะเทือน อาจทำให้เกิดความเสียหายทั้งในแง่ของทรัพย์สินและชีวิตมนุษย์
ดังนั้น การปฏิบัติตามกฎหมายการออกแบบอาคารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้
บทสรุป
สรุปส่งท้าย กฎหมายการออกแบบอาคาร มีเพื่อรับมือกับแผ่นดินไหว เป็นปัจจัยที่สำคัญมากในกรอบกฎหมายการก่อสร้าง ซึ่งมีบทบาทในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานการออกแบบอาคารในสถานการณ์แผ่นดินไหวไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้พักอาศัยในอาคารนั้นๆ ว่าพวกเขาจะปลอดภัยในกรณีที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ
ในปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง อาจเป็น วิกฤตหรือโอกาส ที่มีผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่มองว่า… การมีลูกเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมีความพร้อมรอบด้าน โดยเฉพาะด้านการเงิน หลายๆ คู่ ที่แต่งงานจึงตัดสินใจ “ไม่มีลูก” หรือเลื่อนแผนการมีลูกออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อหลายภาคส่วนของธุรกิจ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ในการปรับตัว เพื่อตอบสนองตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
แม้ว่าอัตราการเกิดที่ลดลงจะเป็นวิกฤตที่หลายๆ ฝ่ายวิตกกังวล แต่อีกมุมหนึ่งภาวะนี้อาจจะเป็น “โอกาสใหม่” ให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ลุกขึ้นมาปรับตัวครั้งใหญ่ เพราะเมื่อโครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป ความต้องการที่อยู่อาศัยก็ย่อมเปลี่ยนตาม ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบโครงการเพื่อกลุ่มคนโสด คู่รักไม่มีบุตร หรือผู้สูงอายุที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในบทความนี้ Amber จะพาไปสำรวจว่า… วิกฤตอัตราการเกิดที่ลดลงนั้นส่งผลต่อวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างไร?
- สถานการณ์อัตราการเกิดที่ลดลง
อัตราการเกิดทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ อัตราการเกิดของไทยลดลงเหลือประมาณ 500,000 คนต่อปีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (เด็กไทยที่เกิดในปี 2567 มีจำนวน 461,421 คน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี และมีแนวโน้มจำนวนเด็กเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง สถิติพวกนี้แสดงให้เห็นว่า… ในอนาคตโครงสร้างประชากรจะเปลี่ยนไป โดยมีประชากรสูงวัยมากขึ้น และแรงงานวัยหนุ่มสาวลดลง
สาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราการเกิดลดลง ได้แก่
- ภาวะเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้หลายครอบครัวชะลอการมีลูก
- ค่านิยมการใช้ชีวิต คนรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญกับอิสรภาพทางการเงินและการงานมากกว่าการสร้างครอบครัว
- ปัจจัยทางสังคมและการศึกษา ผู้หญิงมีบทบาทในตลาดแรงงานมากขึ้น ส่งผลให้มีลูกน้อยลงและช้าลง
- นโยบายภาครัฐ มาตรการจูงใจให้มีลูกยังไม่เพียงพอหรือไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด
- ผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์
การลดลงของอัตราการเกิดส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น…
2.1 ตลาดบ้านเดี่ยว และบ้านจัดสรร ความต้องการบ้านขนาดใหญ่ลดลง เนื่องจากครอบครัวมีขนาดเล็กลงหรือเลือกอยู่แบบคนเดียวมากขึ้น บ้านที่มีพื้นที่กว้าง อาจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบให้รองรับการใช้สอยที่หลากหลาย เช่น พื้นที่ทำงานที่บ้าน (Home Office) หรือพื้นที่สำหรับผู้สูงอายุ
2.2 ตลาดคอนโดมิเนียม คอนโดขนาดเล็กได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์คนโสดและคู่รักที่ไม่มีบุตร ทำเลที่ใกล้แหล่งทำงานและระบบขนส่งมวลชนเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ ผู้พัฒนาโครงการอาจจะต้องเพิ่มและใส่ใจรายละเอียดในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางมากยิ่งขึ้น เช่น Co-working Space & Meeting Room, EV Charger, Live & Photo Studio หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่
2.3 ตลาดอสังหาฯ เพื่อการเช่า แนวโน้มการเช่าแทนการซื้อเพิ่มขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ต้องการความยืดหยุ่นไม่ต้องการภาระผูกพันระยะยาว และราคาอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้นและเข้าถึงได้ยากขึ้น อสังหาฯ ประเภทหอพักอพาร์ทเม้นท์ และคอนโดให้เช่าอาจมีโอกาสเติบโตมากขึ้น
2.4 ตลาดอสังหาฯ สำหรับผู้สูงวัย เนื่องด้วยจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับวัยสูงอายุเติบโตขึ้น โครงการที่มีบริการดูแลผู้สูงอายุ เช่น Senior Living หรือ Nursing Home จะเป็นตลาดที่น่าสนใจ
- แนวทางการปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์คนโสดและครอบครัวขนาดเล็ก เช่น คอนโดขนาดเล็กที่มีฟังก์ชันครบครัน หรือบ้านแนวใหม่ที่ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นบ้านขนาดใหญ่เสมอไป
การพัฒนาโครงการสำหรับผู้สูงอายุ เป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ โดยอาจจะเพิ่มบริการสุขภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม เช่น ระบบสัญญาณฉุกเฉินและบริการดูแลสุขภาพ ใกล้แหล่งโรงพยาบาล เป็นต้น
ขยายโอกาสสู่ตลาดอสังหาฯ เพื่อการเช่า เนื่องจากคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการอยู่อาศัยมากกว่าการเป็นเจ้าของเอง ที่มักจะต้องมีภาระหนี้สินผูกพันระยะยาว
ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพัฒนาโครงการ เช่น Smart Home หรือระบบบริหารจัดการอสังหาฯ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอยู่อาศัยให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
พัฒนาอสังหาฯ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับแนวคิด Sustainable Living มากขึ้น
สรุปส่งท้าย อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน จะเป็นปัจจัยกำหนด วิกฤตหรือโอกาส ที่สร้างความท้าทายให้กับหลายภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและพฤติกรรมผู้บริโภค แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากธุรกิจอสังหาฯ มองเห็นและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างลึกซึ้ง ก็อาจจะต่อยอดสู่ “โอกาสใหม่” ที่พร้อมจะสร้างมูลค่าและตอบโจทย์ความต้องการผู้คนได้อย่างตรงจุด
ดังนั้นวิกฤตด้านประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง คงจะเป็นสัญญาณเตือนให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องเร่งปรับตัว และถ้าหากสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และเข้าใจทิศทางของสังคมที่เปลี่ยนไป วิกฤตในครั้งนี้ก็คงจะเปลี่ยนเป็น โอกาสครั้งใหญ่ ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย
ได้รับรางวัล Agency Excellence Southeast Asia Awards 2023 จาก Dot Property
ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service
>>> บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด
>>> บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด
>>> บริการบริหารและจัดการคอนโด
LINE@ : https://lin.ee/KOsTUWR
Tel : 089-986-0202
Youtube : @amberrealty
Tiktok : https://www.tiktok.com/@amberrealty
เลือกดูโครงการที่ชอบ: https://amber-international.com/projects/
#ซื้อขายคอนโดกรุงเทพ #ซื้อคอนโด #ขายคอนโด #เช่าคอนโดกรุงเทพ #ลงทุนคอนโด #คอนโดกรุงเทพ