ทุกวันนี้กระแสรถยนต์ EV Charger กำลังมาแรงมาก และมีแนวโน้มที่จะซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยปัญหาน้ำมันแพง หลาย ๆ คนจึงมองหารถยนต์ EV สักคันมาใช้
เพราะช่วยประหยัดค่าเติมน้ำมัน และลดมลพิษในอากาศได้
ด้วยไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ส่วนมากอยู่อาศัยในคอนโด
การใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็อาจจะมีข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง
สำหรับคนที่อยู่คอนโดและสนใจอยากซื้อรถยนต์ EV
คำถามแรกที่นึกขึ้นมาในหัวเลย คือเราอยู่คอนโดแล้วจะชาร์จรถไฟฟ้ายังไง?
ซึ่งถ้าคุณอยู่ในระหว่างการตัดสินใจจะซื้อคอนโด หรือหาเช่าคอนโดที่ไหนดี!?
ก็อาจจะเลือกคอนโดที่มีการติดตั้งจุดชาร์จรถไฟฟ้าไว้ภายในโครงการอยู่แล้ว
ส่วนคอนโดที่สร้างมานานแล้ว หลาย ๆ แห่งก็เริ่มมีการตื่นตัวในเรื่องพลังงานทางเลือกมากขึ้น
สามารถปรึกษากับนิติบุคคลคอนโดของคุณ เพื่อหาวิธีชาร์จรถยนต์ EV
อาจจะตกลงใช้ไฟส่วนกลาง โดยมีค่าใช้จ่ายต่างหากพิเศษบวกเข้าไปด้วยก็ได้
ซึ่งการสร้างจุดที่ชาร์จรถไฟฟ้า EV ต้องทำแบบสอบถามความสมัครใจ
ที่จะมีการติดตั้งจุดชาร์จให้กับลูกบ้านทุกยูนิตก่อน
เพราะการสร้างจุดชาร์จรถไฟฟ้า EV ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ
เช่น ติดตั้งอย่างไร เดินสายไฟจุดไหนบ้าง
จอดเสียบเต็มใช้เวลานานเท่าไหร่ คิดอัตราค่าชาร์จเท่าไหร่
หากทำแล้วบริษัทผู้ให้บริการที่ EV Charger จะขาดทุนหรือไม่
หรือถ้ามีรถจอดแช่ทิ้งไว้นาน ๆ ไม่มีการขยับรถ ต้องจ่ายค่าปรับเท่าไร เป็นต้น
แต่ถ้าหากคอนโดของคุณไม่สามารถจัดสรรในเรื่องที่ชาร์จรถไฟฟ้าได้
และคุณมีความสนใจจะซื้อรถยนต์ EV สักคัน ก็สามารถนำรถยนต์ EV ของคุณ
ไปชาร์จที่จุดบริการตามปั๊มน้ำมันต่าง ๆ ในโชนที่ใกล้เคียง
สามารถค้นหาสถานีชาร์จไฟได้ง่าย ๆ อยู่ที่ไหนก็ค้นหาได้ด้วยสมาร์ทโฟน
หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการ เช่น EA Anywhere , MEA EV เป็นต้น
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของรถยนต์ EV
เมื่อสำรวจจุดชาร์จใกล้คอนโดแล้ว
อย่าลืมวางแผนการชาร์จในแต่ละวันด้วยเช่นกัน
เพราะใช้เวลาชาร์จอยู่ที่ประมาณ 45 นาที หรือแล้วแต่รุ่น
ถือว่าค่อนข้างนานเลยทีเดียว เมื่อเทียบรถยนต์ธรรมดา
สุดท้ายนี้…ถ้าใครอยากจะซื้อรถยนต์ EV สักคัน
แต่ติดปัญหาเรื่องอยู่คอนโดไม่มีชาร์จรถไฟฟ้า ก็ควรพิจารณาให้ดีก่อนจะตัดสินใจ
และต้องสอบถามทางนิติคอนโดด้วยว่า สามารถแก้ปัญหาเรื่องจุดชาร์จให้คุณได้ไหม
แต่หากดูแล้วทุกอย่างไม่สามารถจัดสรรในส่วนนี้ได้ ก็อาจจะต้องตัดใจไปเลือกรถยนต์ธรรมดาแทน
เพราะรถยนต์ EV ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดเยอะกว่ารถยนต์ธรรมดาที่นอกเหนือจากจุดชาร์จ
ถ้าจะเลือกคอนโดสักโครงการ ไม่ใช่แค่ดูว่าอยู่ทำเลไหน หรือราคาเท่าไหร่
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เรามักจะนำมาตัดสินใจร่วมด้วย คือ“ ที่จอดรถคอนโด ”
เพราะไม่ใช่ทุกโครงการจะมีที่จอดรถเพียงพอ
ถ้าซื้อคอนโดแล้ว ต้องเจอเหตุการณ์ไม่มีที่จอดรถ
หรือที่จอดรถไม่เพียงพอ คงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ ๆ
ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจจ่ายเงินก้อนใหญ่
เรามารู้จักข้อควรรู้ เรื่องที่จอดรถคอนโดก่อนซื้ออยู่อาศัย!
เพื่อที่การตัดสินใจซื้อคอนโดของคุณจะได้สมบูรณ์แบบ
ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเกี่ยวกับเรื่องที่จอดรถในภายหลัง
- จำนวน ที่จอดรถคอนโด
สิ่งที่ต้องดูก่อนซื้อคอนโดเลย นั้นคือ “จำนวนที่จอดรถ”
เพราะปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพอ เป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไม่หมด
โดยปกติหลาย ๆ โครงการอาจจะอยู่ที่ 40-50% จะให้สิทธิ์ลูกบ้านจอดรถได้ 1 คันต่อ 1 ยูนิต
ทำให้เวลากลับคอนโด ต้องเสี่ยงดวงกันว่าที่จอดรถเต็มแล้วรึยัง!?
- มีการเรียกเก็บค่าจอดรถหรือไม่?
อีกหนึ่งข้อควรรู้ คือ ทางโครงการจะมีการเรียกเก็บค่าที่จอดรถหรือไม่?
เพราะบางโครงการมีเรียกเก็บค่าที่จอดรถ
เนื่องจากต้องการสร้างความยุติธรรมให้แก่ลูกบ้านที่ไม่ได้ใช้ที่จอดรถนั่นเอง
- รูปแบบการจอดรถ จะแบ่ง 3 ประเภท
- ที่จอดรถแบบกลางแจ้ง
มักพบในโครงการประเภท Low Rise
จะจอดในพื้นที่แบบลานโล่ง หรือพื้นที่ใต้อาคารจอดแบบได้ร่มเงาบางส่วน
มีข้อดีคือไม่ต้องขับขึ้นวนหาที่จอดในอาคาร
แต่มีข้อเสีย คือ รถจะต้องจอดตากแดดตากฝนกันไปตามสภาพอากาศ
- ที่จอดรถบนอาคารจอด
สำหรับที่จอดรถบนอาคาร มักจะกำหนดความสูงของรถไว้ไม่ให้เกิน 2.2 – 2.4 เมตร
หรือบางโครงการจะอยู่รวมกับส่วนกลาง มีข้อดี คือ ดูแลรักษารถได้เป็นอย่างดี
แต่มีข้อเสีย คือ บางโครงการที่จอดรถไม่ได้เชื่อมกับอาคาร ต้องเดินไกลหน่อย
- ที่จอดรถอัตโนมัติ Automated Parking System
หลาย ๆ โครงการเริ่มใช้ที่จอดรถอัตโนมัติมากขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถให้เพียงพอ
มีข้อดี คือประหยัดพื้นที่ และสามารถจอดรถเพิ่มขึ้น 40-50%
แต่มีข้อเสีย คือ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่เสมอ เพื่อเคลื่อนย้ายรถ
สำหรับการเตรียมเข้าจอดรถ ทางโครงการจะมีพื้นที่ให้จอดรถรอ
เพื่อดูว่าช่องจอดไหนว่างให้เราเข้าไปจอด ให้ระบบอัตโนมัติยกรถเราไปเก็บ
- ขนาดของช่องจอดรถ
เป็นเรื่องที่ผู้คนมักจะมองข้ามกันอยู่เสมอ เพราะบางโครงการคอนโด ขนาดช่องจอดรถค่อนข้างเล็กและแคบ
จนทำให้มีปัญหาตามมา เช่น จอดรถที่เบียดกัน, เปิดประตูไปโดนรถข้างๆ การเฉี่ยวชนในขณะที่ถอยรถเข้าซอง
เพราะฉะนั้น…ก่อนการตัดสินใจซื้อคอนโด อย่าลืมสอบถามเรื่องขนาดช่องจอดรถไว้ด้วย
การรู้สิ่งเหล่านี้ก่อนตัดสินใจซื้อคอนโด
จะลดโอกาสการเกิดปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับที่จอดรถภายหลัง
รวมไปถึงสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ก็คือเรื่อง “ความปลอดภัย”
เช่น ระบบกล้องวงจรปิดบริเวณรอบๆ คอนโด แสงสว่างในตอนกลางวันและกลางคืน
เพื่อการจอดรถที่ทั้งสะดวกและสบายใจ มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยนั่นเอง
สำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดดีๆ สักห้อง เดินทางสะดวก ราคาไม่สูง และมีงบจำกัด
เราคัดสรรโครงการปัง ๆ ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาทมาให้แล้วว
มีหลากหลายสไตล์ให้เลือก คอนโดใกล้ BTS และ MRT ย่านไหน ๆ ก็ไปถึงรวดเร็ว
.
ใครที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์อยู่ Amber International Realty ช่วยคุณได้
โครงการ MAXXI Ratchayothin – Phaholyothin 34 ใกล้ BTS เสนานิคม
คอนโดมิเนียมในซอยพหลโยธิน 34 ใกล้ม.เกษตร
และ BTS เสนานิคม อยู่ในย่านชุมชน มีร้านค้า 7Eleven, Lotus Express และร้านอาหารตลอดสองข้างทางในซอย
ทำเลนี้มีจุดเด่นใช้เส้นทางลัดเลาะออกไปถนนหลักอื่นๆ ได้หลายสาย
ทั้งถนนพหลโยธิน ถนนเกษตร-นวมินทร์ และถนนลาดพร้าว-วังหิน การเดินทางโดยใช้รถรวมๆ
แล้วถือว่าสะดวกสำหรับคนที่ใช้เส้นทางในย่านนี้
สิ่งอำนวยความสะดวก: อาคาร Clubhouse สองชั้น, Co-kitchen Space, Co-happy space,
สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องออกกำลังกาย, สวนพักผ่อน Roof Top, ที่จอดรถ
และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม
โครงการ Artemis Sukhumvit 77 ใกล้ BTS อ่อนนุช
เป็นคอนโดที่เหมาะกับคนทำงานอยู่ใจกลางเมืองมาก เพราอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS อ่อนนุช ประมาณ 800 เมตร
ทางโครงการมี Shuttle Bus ไปส่งที่สถานีทำเลนี้มีจุดเด่น อยู่บนถนนสุขุมวิท 77
เชื่อมต่อกับย่านเอกมัย ทองหล่อ พระราม 4 อโศก ใกล้ทางด่วน 2 เส้นทาง
คือ ทางด่วนเฉลิมมหานคร และทางด่วนฉลองรัช จะมีปริมาณรถหนาแน่นทั้งวัน
ถ้าใครจะเดินทางไปทำงานอาจจะต้องเผื่อเวลาการเดินทางสักหน่อย
สิ่งอำนวยความสะดวก : โถงต้อนรับ, ห้องตู้จดหมาย, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, สวนพักผ่อน,
Access Card Control, ที่จอดรถ, กล้องวงจรปิด, ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.
โครงการ Supalai Loft Yaek Fai Chai Station ใกล้ MRT แยกไฟฉาย
คอนโดสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ใกล้ MRT แยกไฟฉาย
รอบๆ โครงการจะมีร้านค้าโชห่วย ร้านอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ร้านส้มตำเล็กๆ มีอาหารหลากหลาย
และยังมีร้าน 7-Eleven เรียกว่าเป็นแหล่งรวมของกินสุด ๆ
ทำเลดี ติดถนนพรานนก-พุทธมณฑลสาย 4 ใกล้แยกไฟฉาย และแยกท่าพระ
เดินทางสะดวก เชื่อมต่อเข้า-ออกเมืองได้ง่าย เพียง 450 เมตร ถึง MRT แยกไฟฉาย ใกล้ รพ.ศิริราช
สิ่งอำนวยความสะดวก: ที่จอดรถ Lobby ขนาดใหญ่ พร้อม Meeting Room สำหรับจัดประชุม
สระว่ายน้ำระบบเกลือ พร้อมสระเด็ก และ Jacuzzi, ห้องออกกำลังกาย, สวนหย่อม ,
สนามเด็กเล่น .กล้องวงจรปิด, ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.
โครงการ The Base Sukhumvit 77 ติด BTS อ่อนนุช
เป็นคอนโดที่มีสวนขนาดใหญ่ให้พักผ่อน สตรีทบาสเกตบอล
ตัวโครงการห่างจาก BTS อ่อนนุช เพียง 2 นาทีเท่านั้น ใกล้ห้างบิ๊กซี และเทสโก้โลตัส
ทำเลนี้มีจุดเด่น อยู่บนถนนสุขุมวิท 77 ใกล้ทางด่วนพิเศษฉลองรัช, เทสโก้ โลตัส อ่อนนุช,
บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า อ่อนนุช, ตลาดอ่อนนุช, Century the movie plaza อ่อนนุช, Gateway เอกมัย, Bangkok Prep และ รพ.กล้วยน้ำไท
สิ่งอำนวยความสะดวก : สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนพักผ่อน, ร้านค้า , ที่จอดรถ, กล้องวงจรปิด, ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.
โครงการ U Delight @Bangson Station ติด MRT บางซ่อน
เป็นคอนโดที่มีบรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม่ใหญ่เยอะผ่อนคลายจากความวุ่นวาย
บริเวณรอบ ๆ จะมีมินิมาร์ท ร้านค้า ร้านอาหาร และใกล้ห้าง Big C วงสว่าง
ทำเลตั้งอยู่บน ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี ติดรถไฟฟ้า MRT บางซ่อน
และรถไฟฟ้าสายสีแดง ใกล้ทางด่วนขั้นที่ 2, รัฐสภาแห่งใหม่, SCG, Gateway บางซื่อ, รพ.นนทเวช และ รพ.วิภาวดี
สิ่งอำนวยความสะดวก: Lobby, Mailbox, ฟิตเนส, สตรีม, ซาวน่า, สระว่ายน้ำ, สวนพักผ่อน,
ลิฟต์โดยสาร, ที่จอดรถ, ระบบ Key Card Access, กล้องวงจรปิด และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.
การจะเป็นเจ้าของคอนโดในแต่ละครั้งนั้น คุณต้องเจอ ขั้นตอนการรับโอนคอนโด
ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย ไม่ว่าเราซื้อคอนโดมือหนึ่งจากโครงการโดยตรง
หรือซื้อคอนโดมือสองต่อจากคนอื่น ล้วนต้องมาถึงขั้นตอนการโอนคอนโดทั้งสิ้น
เพราะการโอนคอนโด คือการเปลี่ยนเจ้าของจากผู้ถือครองเดิมมาให้ผู้ซื้อล่าสุด
เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ผู้ซื้อห้ามพลาด และควรศึกษาให้ดี
เพราะขั้นตอนนี้จะมีทั้งเรื่องของเอกสารต่างๆ ที่ต้องเตรียม
มีค่าใช้จ่ายต่างๆ และเป็นขั้นตอนทางกฎหมายที่ต้องมีหนังสือ
หรือลายลักษณ์อักษรในการโอนกรรมสิทธิ์อย่างชัดเจนว่า
ผู้ซื้อได้มาอย่างถูกต้อง
แล้ว ขั้นตอนการรับโอนคอนโด จะง่ายหรือยุ่งยากขนาดไหนเรามาดูกันเลย
ขั้นตอนการ โอนคอนโด
1.เตรียมเงินให้พร้อม
หากผู้ขาย หรือเจ้าของเดิม ยังมีค่าใช้จ่ายค้างชำระ เช่นค่าส่วนกลาง
หรือยังมีภาระหนี้ที่ยังผ่อนกับธนาคารอยู่ ทำให้วันที่ทำเรื่องโอนคอนโดกัน
ผู้ซื้อจะต้องชำระค่าใช้จ่ายแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งให้กับเจ้าหนี้เดิม
ไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือบุคคล และนำยอดส่วนต่างที่เหลืออยู่ชำระให้กับเจ้าของคอนโด
นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมการโอนที่สำนักงานที่ดินอีกส่วน
โดยปกติจะแล้วแต่ตกลงกันว่าผู้ซื้อ หรือผู้ขายจะเป็นผู้ชำระเงินในส่วนนี้
เราสามารถเลือกได้ว่าจะจ่ายค่าโอนคอนโดส่วนนี้เป็นเงินสด
หรือจะกู้ธนาคารเพื่อขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็ได้ โดยธนาคารจะทำการออกเช็ค
เป็นชื่อของผู้ขาย หรือแยกเป็นสองส่วนในกรณีที่ยังผู้ขายยังมีเจ้าหนี้เดิมอยู่
2.เอกสารการรับ โอนคอนโด
หากซื้อคอนโดจากทางโครงการ หรือซื้อคอนโดมือสองผ่านนายหน้า เจ้าหน้าที่ของทางโครงการหรือนายหน้า
จะอำนวยความสะดวกนการเตรียมเอกสารให้ลูกค้า แต่หากเป็นการซื้อขาย
ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเจ้าของคอนโดรายเดิมโดยไม่ผ่านนายหน้า
เราก็สามารถจัดเตรียมเอกสารโอนคอนโดตามนี้ได้เลย
กรณีผู้ซื้อชาวไทย
กรณีโสด
– สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ( หากเปลี่ยนชื่อ ต้องมีสำเนาเอกสารการเปลี่ยนชื่อ )
– สำเนาทะเบียนบ้านปัจจุบัน
กรณีสมรส ทั้งแบบจดทะเบียนและไม่จดทะเบียน
– สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทั้งของตนเองและคู่สมรส ( หากเปลี่ยนชื่อ ต้องมีสำเนาเอกสารการเปลี่ยนชื่อ )
– สำเนาทะเบียนบ้านปัจจุบัน
– สำเนาทะเบียนสมรส
– หนังสือยินยอมคู่สมรส (กรณีคู่สมรสไม่สะดวกมาด้วยตนเอง)
กรณีผู้ซื้อชาวต่างชาติ
กรณีโสด
– สำเนาหนังสือเดินทาง
– หนังสือรับรองการโอนเงินระหว่างประเทศซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์
– กรณีที่ชาวต่างชาติมีบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในไทยและมีสกุลเงินเป็นบาท
– ผู้ซื้อชาวต่างชาติต้องมีหลักฐานการขอใบรับรองบัญชีเงินฝากจากธนาคารนั้น ๆ ด้วย
กรณีสมรส
– สำเนาหนังสือเดินทาง ทั้งของตนเองและคู่สมรส
– สำเนาทะเบียนสมรส
– หนังสือยินยอมคู่สมรส (กรณีคู่สมรสไม่สะดวกมาด้วยตนเอง)
– สำเนาใบหย่า (กรณีหย่าร้าง)
– หนังสือรับรองการโอนเงินระหว่างประเทศซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์
**กรณีที่ชาวต่างชาติมีบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในไทยและมีสกุลเงินเป็นบาท
ผู้ซื้อชาวต่างชาติต้องมีหลักฐานการขอใบรับรองบัญชีเงินฝากจากธนาคารนั้น ๆ ด้วย
- ศึกษาเรื่องค่าธรรมเนียมการโอน ณ กรมที่ดิน
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับการซื้อขายคอนโด นั้นมีอยู่หลายรายการ หากผู้ซื้อหลายคนมองข้ามไป
อาจตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจากการเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกำหนดอาจโดนผู้ขายหลอกได้
– ค่าธรรมเนียมการโอนคอนโด ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ คิดเป็น 2% ของราคาประเมินขายคอนโด
แบ่งจ่ายคนละ 1% บางครั้งผู้ขายอาจรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้แทนผู้ซื้อแล้วแต่จะตกลงกัน
– ค่าจดจำนอง คิดเป็น 1% ของมูลค่าที่จำนองหรือยอดเงินกู้ทั้งหมด
กรณีที่กู้ขอสินเชื่อธนาคาร ค่าใช้ส่วนนี้ผู้ซื้อเป็นคนรับผิดชอบ
– ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ คิดเป็น 3.3% ในกรณีขายคอนโดมือสองที่ผู้ขายเป็นเจ้าของเดิมถือครองไม่เกิน 5 ปี
หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านน้อยกว่า 1 ปี จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ผู้ขายต้องเป็นคนรับผิดชอบ
– ค่าอากรแสตมป์ คิดเป็น 0.5% ของราคาซื้อขาย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ผู้ขายต้องเป็นคนรับผิดชอบ
– ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หัก ณ ที่จ่าย) ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ผู้ขาย จะเป็นคนออกเงินตรงนี้
เนื่องจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นรายได้ของผู้ขาย
- โอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน
ผู้ซื้อผู้ขายนัดหมายวันเวลาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินสาขาที่ดูแลพื้นที่ที่โครงการคอนโดตั้งอยู่
สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำแทนได้ โดยผู้ซื้อจะได้รับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลัง - ตรวจสอบเอกสารและเก็บหลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์คอนโด
เอกสารที่จะได้รับจากการโอนกรรมสิทธิ์มีดังนี้
– โฉนด หรือใบแสดงกรรมสิทธิ์ในอาคารชุด (อช.2)
– หนังสือสัญญาซื้อขาย
– ใบเสร็จค่าธรรมเนียมการโอน
– หนังสือสัญญาจำนองเป็นประกัน (ขอสินเชื่อกับธนาคาร)
– ใบเสร็จค่าจดจำนอง (ขอสินเชื่อกับธนาคาร)
การโอนกรรมสิทธิ์คอนโด จะเห็นได้ว่าสำคัญมาก ๆ หากก้าวพลาดไปก้าวเดียวอาจมีปัญหาบานปลาย
เพราะเรื่องของกรรมสิทธิ์เป็นเรื่องที่มีข้อกฎหมายมาเกี่ยวข้อง หรือ หากยังมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาเราได้เลยนะคะ
“ความน่าเชื่อถือ” มักเป็นสิ่งแรกที่เรามองหาเมื่อต้องการจะซื้อสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่าง
ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการซื้ออาหาร ไปจนถึงการลงทุนในระดับที่สูงขึ้น
เพราะมันเป็นเครื่องการันตีว่าการตัดสินใจของเรานั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ากับราคาเสียไป
สำหรับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก
บางครั้งอาศัยความรู้อย่างเดียวอาจไม่พอ ยังต้องอาศัย “ประสบการณ์” และ “ความเชี่ยวชาญ” อีกด้วย
และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายต่อหลายคน มองหาบริการจากตัวแทน ก่อนตัดสินใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์
เพราะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มากกว่า ซึ่งตัวแทนอสังหาฯ ที่ “น่าเชื่อถือ”
นั้นควรจะมีจะมีลักษณะอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ
.
การตรงต่อเวลา
ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เราคงจะประทับใจกับตัวแทนที่มาตรงเวลานัดหมาย หรือ มาก่อนเวลามากกว่า
เพราะนั่นเท่ากับว่าเขาให้ความสำคัญกับเรา เราคงจะรู้สึกไม่ดีใช่ไหมล่ะคะ ถ้าสมมติว่าเราฝากเช่าห้องกับเอเจนซีหนึ่ง
แต่ตัวแทนกลับมาช้า หากเหตุการณ์นี้เกิดกับผู้ที่สนใจเช่าห้องของเราคงไม่ดีแน่
นอกจากนี้ การแต่งกายที่สุภาพและการเตรียมพร้อมด้านเอกสารก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ
รวมทั้ง การสร้างความเป็นมิตร ผ่านรอยยิ้ม ผ่านการพูดจาที่นุ่มนวลไพเราะ ก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ควรมองหาจากตัวแทน
เพราะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ด้วยเช่นเดียวกัน
.
ตัวแทนอสังหาฯ ที่ดีต้องสามารถให้คำปรึกษากับเราได้รอบด้าน รู้ลึก รู้จริง และมีข้อมูลที่ทันสมัย
เพราะการลงทุนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หากขาดข้อมูลที่สำคัญเรื่องอะไรไป อาจทำให้การดำเนินการทั้งหมดของเราสะดุดลง
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากจะปล่อยเช่าให้ชาวญี่ปุ่น ตัวแทนก็ควรจะแนะนำได้ว่า ชาวญี่ปุ่นนั้นชอบห้องสไตล์ไหน
ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
.
ตัวแทนที่มีเครือข่ายกับพาร์ทเนอร์ และฐานลูกค้าในมือพร้อมทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยจับคู่ผู้ซื้อ-ผู้ขาย ได้รวดเร็วกว่า
อีกทั้งยังได้ราคาดีกว่า นอกจากนี้ยังช่วยให้เรามั่นใจได้อีกด้วยว่าตัวแทนนี้
มีประสบการณ์และมีมาตรฐานการทำงานที่ดี เป็นที่ยอมรับจากคนในวงกว้าง
.
ความเป็นมืออาชีพ คือผลรวมของ การตรงต่อเวลา ประสบการณ์ และ ความเชี่ยวชาญ ทุกสิ่งเหล่านี้
จะทำให้บริษัทหนึ่งมีความน่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ไว้วางใจต่อทั้งลูกค้าและพาร์ทเนอร์
ในขณะเดียวกัน ลูกค้าที่กำลังมองหาความน่าเชื่อถือจากตัวแทน ก็ควรที่จะใช้คุณสมบัติเหล่านี้
เป็นตัวพิจารณา เพื่อให้ตัดสินใจได้ดีกว่า อย่างมั่นใจ
รู้หรือไม่ว่าในปัจจุบันเราไม่ต้องเสียเวลาและค่าเดินทางในการดำเนินการ ย้ายทะเบียนบ้าน แล้ว?
เพราะตอนนี้การย้ายทะเบียนบ้านออนไลน์ช่วยให้เราสะดวกมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการย้ายเข้า-ย้ายออก ย้ายปลายทาง ย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านใหม่ หรือจองคิวเข้ารับบริการ
ส่วนวิธีการและขั้นตอนจะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ
ก่อนที่เราจะไปลงทะเบียนแจ้งย้ายทะเบียนบ้านออนไลน์
มาเตรียมเอกสารที่เราจะต้องใช้ในการดำเนินการกันก่อนนะคะ
- ทะเบียนบ้านฉบับจริง
- บัตรประจำตัวประชาชนเจ้าบ้าน
- เอกสาร ทร.6 การแจ้งย้ายทะเบียนบ้าน
- หนังสือมอบอำนาจ กรณีเจ้าบ้านไม่ได้ไปดำเนินการด้วยตัวเอง
- หากเป็นผู้รับมอบอำนาจ ต้องเตรียมบัตรประจำตัวประชาชนไปแสดงด้วย
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ต้องการย้ายออก (ในกรณีแจ้งย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิม)
ขั้นตอนการแจ้งย้ายทะเบียนบ้านออนไลน์
- ทุกคนจะต้องมีแอพลิเคชั่น “ThaID” หรือ ไทยดี
โดยสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านมือถือทั้งระบบ IOS และ Android ตามลิ้งค์ด้านล่าง
IOS : https://apps.apple.com/th/app/d-dopa/id1533612248
Android https://play.google.com/store/apps/details?id=th.go.dopa.bora.dims.ddopa&hl=th&gl=US
- เข้าแอปพลิเคชั่นและลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตน (สำหรับการใช้งานครั้งแรก)
- เลือก “ลงทะเบียนด้วยตนเอง”
- ยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งาน สแกนบัตรประชาชน สแกนรูปใบหน้าตนเอง และสร้างรหัสผ่าน
- เลือก “การคัดและรับรองเอกสารงานทะเบียน”
- เลือก “ระบบการแจ้งย้ายที่อยู่ด้วยตนเอง”
- กดส่งคำร้องขอเจ้าบ้าน โดยกรอกเลขบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าบ้านที่เราต้องการย้ายเข้าทะเบียนบ้าน
(เจ้าบ้านต้องทำการลงทะเบียนแอปพลิเคชั่น ThaID และยืนยันตัวตน) - หลังจากนั้น ระบบจะส่งข้อความให้เจ้าบ้านทำการยืนยันตัวตนและให้ความยินยอม
- เมื่อเจ้าบ้านกดยืนยันเพื่อยินยอมให้ย้ายเข้า เรียบร้อยแล้ว คำขอจะถูกส่งไปยังนายทะเบียนของอำเภอหรือเขตที่แจ้งย้าย
- จากนั้นนายทะเบียนจะดำเนินการอนุมัติและแจ้งผลให้ผู้แจ้งย้ายและเจ้าบ้านทราบ
ง่ายมากๆ เลยใช่ไหมคะ เพียงเท่านี้เราก็สามารถแจ้ง ย้ายทะเบียนบ้าน ได้ทุกที่ ทุกเวลา
และไม่ต้องออกไปเจอกับปัญหารถติด ฝุ่นควันมลภาวะ จากการเดินทาง แถมไปถึงสำนักงานเขต
หรือที่ว่าการอำเภอ ยังต้องไปรอต่อคิวให้ยุ่งยากเสียเวลาอีกต่างหาก
ทะเบียนบ้านนั้นเป็นเอกสารของทางราชการ ที่ระบุรายชื่อของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน
ทะเบียนบ้านจะบ่งบอกว่าบุคคลใดเป็นเจ้าบ้านและบุคคลใดเป็นผู้อาศัย
คนไทยใช้ทะเบียนบ้านเพื่อแสดงที่อยู่อาศัย และใช้แสดงเป็นหลักฐานสำคัญในการติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ
และถ้าคนต่างชาติอยากจะมีชื่อในทะเบียนบ้านบ้างจะต้องทำอย่างไรและเตรียมเอกสารอะไรบ้าง
วันนี้เรามีคำตอบมาให้ทุกคนแล้วค่ะ
สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ การขอ ทะเบียนบ้านของชาวต่างชาติ จะต้องเป็นทะเบียนบ้านเล่มเหลือง (ทร.13) เท่านั้น
และการนำชื่อชาวต่างชาติเข้าทะเบียนบ้าน จะมี 2 กรณีหลัก ๆ
1.กรณีที่คนต่างชาติสมรสกับคนไทย และต้องการนำชื่อเข้าทะเบียนบ้าน
หากคุณหรือบิดามารดาของคุณเป็นเจ้าบ้าน ให้เจ้าบ้านไปแจ้งต่อสำนักทะเบียนตามภูมิลำเนาที่บ้านตั้งอยู่
โดยกรอกคำร้องเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร(ทร.13) ขอเพิ่มชื่อบุคคลในทะเบียนบ้าน
สำหรับเอกสารที่ต้องเตรียมก็มีดังนี้ค่ะ
เอกสารเจ้าของบ้าน
– บัตรประชาชนพร้อมสำเนา
– ทะเบียนบ้าน ทร. 14 เล่มจริง พร้อมสำเนา
เอกสารสำหรับขอ ทะเบียนบ้านของชาวต่างชาติ
– หนังสือเดินทาง (ตัวจริงพร้อมสำเนาที่ทำการแปลเป็นภาษาไทย)
– หนังสือแจ้งที่พักอาศัยสำหรับคนต่างชาติ ออกโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
– ทะเบียนสมรส
– รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 4 รูป
– พยานบุคคลพร้อมบัตรประชาชน อย่างน้อย 2 คน (พยานควรเป็นคนที่รู้จักกัน)
- 2. กรณีที่คนต่างชาติชื้อ Apartment หรือคอนโด และเป็นของเจ้าของกรรมสิทธิ์
ท่านผู้นั้นสามารถยื่นขอมีทะเบียนบ้านของตนบุคคลต่างด้าวนั้นเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
และได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
หรือเป็นคนต่างด้าวตามที่กฎหมายกำหนดมีสิทธิซื้อห้องชุด
ได้ไม่เกินร้อยละ 49 ของจำนวนห้องชุดทั้งหมดในอาคารนั้น
และมีสิทธิขอทะเบียนบ้านได้ ประเภท (ทร.13)
โดยนำหลักฐานติดต่อ สำนักงานเขตที่คอนโดมิเนียมนั้นตั้งอยู่
เอกสารที่ใช้
- หนังสือเดินทาง (ตัวจริงพร้อมสำเนาที่ทำการแปลเป็นภาษาไทย)
- ทะเบียนบ้าน(ทร.14) (เล่มสีน้ำเงิน) แปลเป็นภาษาไทย
- หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด และ หนังสือสัญญาซื้อขาย อช. 23
- รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 4 รูป
- ใบอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย (ถ้ามี)
- พยานบุคคลพร้อมบัตรประชาชน อย่างน้อย 2 คน (พยานควรเป็นคนที่รู้จักกัน)
- เอกสารอื่นๆ (ถ้ามี) เช่น ใบขับขี่ วุฒิการศึกษา กรีนการ์ด
- รูปถ่ายหน้าบ้านให้เห็นหมายเลขบ้าน และในห้องหรือในบ้านที่พักอาศัยจริง
สถานที่ติดต่อ
กรุงเทพมหานครและปริมณทล
– ให้ติดต่อสำนักงานเขตที่อาศัยอยู่
ต่างจังหวัด
– สำนักทะเบียนอำเภอ
– สำนักทะเบียนท้องถิ่น
ขั้นตอน
– นำเอกสารทั้งหมด ติดต่อฝ่ายทะเบียนที่สำนักงานเขตหรือสำนักทะเบียนอำเภอนั้น ๆ
– หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่พิจารณาเสร็จ จะมีการนัดสัมภาษณ์เจ้าบ้าน ผู้ขอเพิ่มชื่อ และพยานบุคคล
– เจ้าหน้าที่จะพิจารณาและเรียกไปรับเล่มทะเบียนบ้านอีกครั้ง
ส่วนราคาค่าใช้จ่ายเนี่ยแล้วแต่ของแต่ละเขต แต่ละพื้นที่เลยค่ะ
ราคาไม่ได้สูงมาก และใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบประมาณ 60 – 90 วัน แล้วแต่พื้นที่
ถ้าใครคิดว่าต้องใช้แน่ๆ เราในฐานะของนายหน้าอสังหาที่มีลูกค้าต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
จากประสบการณ์แล้วขอแนะนำว่าให้ทำล่วงหน้าไว้เลยนะคะ จะได้ไม่มีปัญหาเวลาจะใช้ค่ะ