“ความน่าเชื่อถือ” มักเป็นสิ่งแรกที่เรามองหาเมื่อต้องการจะซื้อสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่าง
ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการซื้ออาหาร ไปจนถึงการลงทุนในระดับที่สูงขึ้น
เพราะมันเป็นเครื่องการันตีว่าการตัดสินใจของเรานั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ากับราคาเสียไป
สำหรับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก
บางครั้งอาศัยความรู้อย่างเดียวอาจไม่พอ ยังต้องอาศัย “ประสบการณ์” และ “ความเชี่ยวชาญ” อีกด้วย
และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายต่อหลายคน มองหาบริการจากตัวแทน ก่อนตัดสินใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์
เพราะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มากกว่า ซึ่งตัวแทนอสังหาฯ ที่ “น่าเชื่อถือ”
นั้นควรจะมีจะมีลักษณะอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ
.
การตรงต่อเวลา
ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เราคงจะประทับใจกับตัวแทนที่มาตรงเวลานัดหมาย หรือ มาก่อนเวลามากกว่า
เพราะนั่นเท่ากับว่าเขาให้ความสำคัญกับเรา เราคงจะรู้สึกไม่ดีใช่ไหมล่ะคะ ถ้าสมมติว่าเราฝากเช่าห้องกับเอเจนซีหนึ่ง
แต่ตัวแทนกลับมาช้า หากเหตุการณ์นี้เกิดกับผู้ที่สนใจเช่าห้องของเราคงไม่ดีแน่
นอกจากนี้ การแต่งกายที่สุภาพและการเตรียมพร้อมด้านเอกสารก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ
รวมทั้ง การสร้างความเป็นมิตร ผ่านรอยยิ้ม ผ่านการพูดจาที่นุ่มนวลไพเราะ ก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ควรมองหาจากตัวแทน
เพราะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ด้วยเช่นเดียวกัน
.
ตัวแทนอสังหาฯ ที่ดีต้องสามารถให้คำปรึกษากับเราได้รอบด้าน รู้ลึก รู้จริง และมีข้อมูลที่ทันสมัย
เพราะการลงทุนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หากขาดข้อมูลที่สำคัญเรื่องอะไรไป อาจทำให้การดำเนินการทั้งหมดของเราสะดุดลง
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากจะปล่อยเช่าให้ชาวญี่ปุ่น ตัวแทนก็ควรจะแนะนำได้ว่า ชาวญี่ปุ่นนั้นชอบห้องสไตล์ไหน
ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
.
ตัวแทนที่มีเครือข่ายกับพาร์ทเนอร์ และฐานลูกค้าในมือพร้อมทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยจับคู่ผู้ซื้อ-ผู้ขาย ได้รวดเร็วกว่า
อีกทั้งยังได้ราคาดีกว่า นอกจากนี้ยังช่วยให้เรามั่นใจได้อีกด้วยว่าตัวแทนนี้
มีประสบการณ์และมีมาตรฐานการทำงานที่ดี เป็นที่ยอมรับจากคนในวงกว้าง
.
ความเป็นมืออาชีพ คือผลรวมของ การตรงต่อเวลา ประสบการณ์ และ ความเชี่ยวชาญ ทุกสิ่งเหล่านี้
จะทำให้บริษัทหนึ่งมีความน่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ไว้วางใจต่อทั้งลูกค้าและพาร์ทเนอร์
ในขณะเดียวกัน ลูกค้าที่กำลังมองหาความน่าเชื่อถือจากตัวแทน ก็ควรที่จะใช้คุณสมบัติเหล่านี้
เป็นตัวพิจารณา เพื่อให้ตัดสินใจได้ดีกว่า อย่างมั่นใจ
รู้หรือไม่ว่าในปัจจุบันเราไม่ต้องเสียเวลาและค่าเดินทางในการดำเนินการ ย้ายทะเบียนบ้าน แล้ว?
เพราะตอนนี้การย้ายทะเบียนบ้านออนไลน์ช่วยให้เราสะดวกมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการย้ายเข้า-ย้ายออก ย้ายปลายทาง ย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านใหม่ หรือจองคิวเข้ารับบริการ
ส่วนวิธีการและขั้นตอนจะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ
ก่อนที่เราจะไปลงทะเบียนแจ้งย้ายทะเบียนบ้านออนไลน์
มาเตรียมเอกสารที่เราจะต้องใช้ในการดำเนินการกันก่อนนะคะ
- ทะเบียนบ้านฉบับจริง
- บัตรประจำตัวประชาชนเจ้าบ้าน
- เอกสาร ทร.6 การแจ้งย้ายทะเบียนบ้าน
- หนังสือมอบอำนาจ กรณีเจ้าบ้านไม่ได้ไปดำเนินการด้วยตัวเอง
- หากเป็นผู้รับมอบอำนาจ ต้องเตรียมบัตรประจำตัวประชาชนไปแสดงด้วย
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ต้องการย้ายออก (ในกรณีแจ้งย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิม)
ขั้นตอนการแจ้งย้ายทะเบียนบ้านออนไลน์
- ทุกคนจะต้องมีแอพลิเคชั่น “ThaID” หรือ ไทยดี
โดยสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านมือถือทั้งระบบ IOS และ Android ตามลิ้งค์ด้านล่าง
IOS : https://apps.apple.com/th/app/d-dopa/id1533612248
Android https://play.google.com/store/apps/details?id=th.go.dopa.bora.dims.ddopa&hl=th&gl=US
- เข้าแอปพลิเคชั่นและลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตน (สำหรับการใช้งานครั้งแรก)
- เลือก “ลงทะเบียนด้วยตนเอง”
- ยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งาน สแกนบัตรประชาชน สแกนรูปใบหน้าตนเอง และสร้างรหัสผ่าน
- เลือก “การคัดและรับรองเอกสารงานทะเบียน”
- เลือก “ระบบการแจ้งย้ายที่อยู่ด้วยตนเอง”
- กดส่งคำร้องขอเจ้าบ้าน โดยกรอกเลขบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าบ้านที่เราต้องการย้ายเข้าทะเบียนบ้าน
(เจ้าบ้านต้องทำการลงทะเบียนแอปพลิเคชั่น ThaID และยืนยันตัวตน) - หลังจากนั้น ระบบจะส่งข้อความให้เจ้าบ้านทำการยืนยันตัวตนและให้ความยินยอม
- เมื่อเจ้าบ้านกดยืนยันเพื่อยินยอมให้ย้ายเข้า เรียบร้อยแล้ว คำขอจะถูกส่งไปยังนายทะเบียนของอำเภอหรือเขตที่แจ้งย้าย
- จากนั้นนายทะเบียนจะดำเนินการอนุมัติและแจ้งผลให้ผู้แจ้งย้ายและเจ้าบ้านทราบ
ง่ายมากๆ เลยใช่ไหมคะ เพียงเท่านี้เราก็สามารถแจ้ง ย้ายทะเบียนบ้าน ได้ทุกที่ ทุกเวลา
และไม่ต้องออกไปเจอกับปัญหารถติด ฝุ่นควันมลภาวะ จากการเดินทาง แถมไปถึงสำนักงานเขต
หรือที่ว่าการอำเภอ ยังต้องไปรอต่อคิวให้ยุ่งยากเสียเวลาอีกต่างหาก

Amber International Realty
บริษัทเอเจ้นท์คอนโดให้บริการโดยทีมงาน
ที่เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
การันตีด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 10 ปี
เราให้บริการแบบ One Stop Service
เกี่ยวกับคอนโดมิเนียม แก่ลูกค้าทั้งชาวไทย
และชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน
สิงคโปร์ เป็นต้น ได้รับการยอมรับ
และทำงานร่วมกันกับ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
เจ้าใหญ่ของไทย เช่น MQDC, Sansiri, AP Thai, Origin ฯลฯ

ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย

ให้บริการแบบครบวงจร One Stop Service

บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด

บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด

บริการบริหารและจัดการคอนโด

Tel : 089-986-0202

Youtube : @amberrealty
ทะเบียนบ้านนั้นเป็นเอกสารของทางราชการ ที่ระบุรายชื่อของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน
ทะเบียนบ้านจะบ่งบอกว่าบุคคลใดเป็นเจ้าบ้านและบุคคลใดเป็นผู้อาศัย
คนไทยใช้ทะเบียนบ้านเพื่อแสดงที่อยู่อาศัย และใช้แสดงเป็นหลักฐานสำคัญในการติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ
และถ้าคนต่างชาติอยากจะมีชื่อในทะเบียนบ้านบ้างจะต้องทำอย่างไรและเตรียมเอกสารอะไรบ้าง
วันนี้เรามีคำตอบมาให้ทุกคนแล้วค่ะ
สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ การขอ ทะเบียนบ้านของชาวต่างชาติ จะต้องเป็นทะเบียนบ้านเล่มเหลือง (ทร.13) เท่านั้น
และการนำชื่อชาวต่างชาติเข้าทะเบียนบ้าน จะมี 2 กรณีหลัก ๆ
1.กรณีที่คนต่างชาติสมรสกับคนไทย และต้องการนำชื่อเข้าทะเบียนบ้าน
หากคุณหรือบิดามารดาของคุณเป็นเจ้าบ้าน ให้เจ้าบ้านไปแจ้งต่อสำนักทะเบียนตามภูมิลำเนาที่บ้านตั้งอยู่
โดยกรอกคำร้องเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร(ทร.13) ขอเพิ่มชื่อบุคคลในทะเบียนบ้าน
สำหรับเอกสารที่ต้องเตรียมก็มีดังนี้ค่ะ
เอกสารเจ้าของบ้าน
– บัตรประชาชนพร้อมสำเนา
– ทะเบียนบ้าน ทร. 14 เล่มจริง พร้อมสำเนา
เอกสารสำหรับขอ ทะเบียนบ้านของชาวต่างชาติ
– หนังสือเดินทาง (ตัวจริงพร้อมสำเนาที่ทำการแปลเป็นภาษาไทย)
– หนังสือแจ้งที่พักอาศัยสำหรับคนต่างชาติ ออกโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
– ทะเบียนสมรส
– รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 4 รูป
– พยานบุคคลพร้อมบัตรประชาชน อย่างน้อย 2 คน (พยานควรเป็นคนที่รู้จักกัน)
- 2. กรณีที่คนต่างชาติชื้อ Apartment หรือคอนโด และเป็นของเจ้าของกรรมสิทธิ์
ท่านผู้นั้นสามารถยื่นขอมีทะเบียนบ้านของตนบุคคลต่างด้าวนั้นเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
และได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
หรือเป็นคนต่างด้าวตามที่กฎหมายกำหนดมีสิทธิซื้อห้องชุด
ได้ไม่เกินร้อยละ 49 ของจำนวนห้องชุดทั้งหมดในอาคารนั้น
และมีสิทธิขอทะเบียนบ้านได้ ประเภท (ทร.13)
โดยนำหลักฐานติดต่อ สำนักงานเขตที่คอนโดมิเนียมนั้นตั้งอยู่
เอกสารที่ใช้
- หนังสือเดินทาง (ตัวจริงพร้อมสำเนาที่ทำการแปลเป็นภาษาไทย)
- ทะเบียนบ้าน(ทร.14) (เล่มสีน้ำเงิน) แปลเป็นภาษาไทย
- หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด และ หนังสือสัญญาซื้อขาย อช. 23
- รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 4 รูป
- ใบอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย (ถ้ามี)
- พยานบุคคลพร้อมบัตรประชาชน อย่างน้อย 2 คน (พยานควรเป็นคนที่รู้จักกัน)
- เอกสารอื่นๆ (ถ้ามี) เช่น ใบขับขี่ วุฒิการศึกษา กรีนการ์ด
- รูปถ่ายหน้าบ้านให้เห็นหมายเลขบ้าน และในห้องหรือในบ้านที่พักอาศัยจริง
สถานที่ติดต่อ
กรุงเทพมหานครและปริมณทล
– ให้ติดต่อสำนักงานเขตที่อาศัยอยู่
ต่างจังหวัด
– สำนักทะเบียนอำเภอ
– สำนักทะเบียนท้องถิ่น
ขั้นตอน
– นำเอกสารทั้งหมด ติดต่อฝ่ายทะเบียนที่สำนักงานเขตหรือสำนักทะเบียนอำเภอนั้น ๆ
– หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่พิจารณาเสร็จ จะมีการนัดสัมภาษณ์เจ้าบ้าน ผู้ขอเพิ่มชื่อ และพยานบุคคล
– เจ้าหน้าที่จะพิจารณาและเรียกไปรับเล่มทะเบียนบ้านอีกครั้ง
ส่วนราคาค่าใช้จ่ายเนี่ยแล้วแต่ของแต่ละเขต แต่ละพื้นที่เลยค่ะ
ราคาไม่ได้สูงมาก และใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบประมาณ 60 – 90 วัน แล้วแต่พื้นที่
ถ้าใครคิดว่าต้องใช้แน่ๆ เราในฐานะของนายหน้าอสังหาที่มีลูกค้าต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
จากประสบการณ์แล้วขอแนะนำว่าให้ทำล่วงหน้าไว้เลยนะคะ จะได้ไม่มีปัญหาเวลาจะใช้ค่ะ

—————————————————————————————–

ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย

ให้บริการแบบครบจร One Stop Service

บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด

บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด

บริการบริหารและจัดการคอนโด

Tel : 089-986-0202

Youtube : @amberrealty
เพราะเมื่อได้มาเราก็จะเก็บมันไว้เพราะเป็นเอกสารสำคัญของบ้าน
และไม่ใช่เอกสารที่จะพกพาติดตัว เนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่
แต่หากวันไหนที่ต้องใช้และพบว่า โฉนดที่ดินหาย
หรือเกิดชำรุดขึ้นมาล่ะ จะทำยังไง?
ก่อนอื่นไม่ต้องตกใจไปนะคะ เราสามารถยื่นขอโฉนดที่ดินใหม่ได้
ส่วนขั้นตอนจะเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมาบอกทุกคนเองค่ะ
1. แจ้งความต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
อันดับแรกเลยก็คือต้องไป แจ้งความต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
เพื่อยืนยันว่าเจ้าของที่ดินนั้นไม่ได้นำโฉนดที่ดิน
ไปจำหน่าย
#จำนอง หรือแลกเปลี่ยนเป็นของผู้อื่น
2. ติดต่อกับสำนักงานที่ดิน
เมื่อได้ใบบันทึกประจำวันมาเรียบร้อยแล้ว
ให้นำเอกสารมาติดต่อที่สำนักงานที่ดิน
เพื่อขอโฉนดที่ดินใหม่
โดยเอกสารที่ต้องเตรียมไปด้วยมีดังนี้
– บัตรประชาชนตัวจริงของผู้ที่ยื่นขอโฉนดที่ดินใหม่
– ทะเบียนบ้านตัวจริงของผู้ที่ยื่นขอโฉนดที่ดินใหม่
– ใบแจ้งความ / บันทึกประจำวัน
– พยานบุคคล 2 คน พร้อมบัตรประชาชนตัวจริง
ซึ่งหากเกิดปัญหาในภายหลัง
พยานทั้ง 2 คนนี้ จะต้องเป็นพยานในชั้นศาลด้วย
เมื่อเตรียมเอกสารทุกอย่างครบแล้ว
จะต้องกรอกเอกสารรับรองและลงลายมือชื่อต่อหน้าเจ้าพนักงาน
เพื่อรองรับว่าเจ้าของที่ดินได้ดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินใหม่จริงๆ
โดยในขั้นตอนการออกโฉนดที่ดินใหม่ทั้งหมดนี้
จะมีค่าธรรมเนียมประมาณ 75 บาท
ทั้งนี้โฉนดที่ดินใหม่ หรือ ใบแทน
จะมีประทับตราบนเอกสารว่า “ใบแทน”
เพื่อแจ้งให้ทราบว่าเอกสารฉบับนี้
สามารถใช้แทนโฉนดที่ดินฉบับจริงได้ 100%
เมื่อเกิดการทำนิติกรรมหรือมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายที่ดิน
ใบแทนนี้จะมีผลทางกฎหมายไม่ต่างกับโฉนดตัวจริง
เป็นอย่างไรบ้างคะ โฉนดที่ดินหาย ขอใหม่ไม่ยากและไม่วุ่นวายอย่างที่คิดใช่ไหม
แต่อย่างไรก็ตามเอกสารสำคัญแบบนี้
ควรเก็บไว้ให้ดีและไม่ทำหายจะดีที่สุดนะคะ
เพราะเมื่อจะทำการขายต่อหรือนำไปทำธุรกรรมอื่นๆ เนี่ย
ทั้งนักลงทุน นายหน้าอสังหา หรือบุคคลที่เราทำธุรกรรมด้วย
ก็จะต้องขอดูโฉนดกันอย่างแน่นอนค่ะ
—————————————————————————————–

ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย

ให้บริการแบบครบจร One Stop Service

บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด

บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด

บริการบริหารและจัดการคอนโด

Tel : 089-986-0202

Youtube : @amberrealty
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากลงทุนกับคอนโดฯ
คงคิดว่าการ ปล่อยเช่าคอนโด เป็นเรื่องง่าย
และได้เงินตลอดทุกเดือน
เพียงแค่แต่งห้องให้สวยและถูกใจกลุ่มหมาย
แต่ในความเป็นจริงแล้วการปล่อยเช่าคอนโดฯ
ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ยิ่งไปกว่านั้นผู้ปล่อยเช่ามือใหม่
อาจจะพลั้งพลาดและประมาทไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
จนทำให้ความความเสียหายตามมา
วันนี้เราจะมาบอกถึงสิ่งที่ควรระวังและตรวจเช็คให้ดี
ก่อนการ ปล่อยเช่าคอนโด ของคุณกันค่ะ มาเริ่มกันเลย
.
ก่อนปล่อยเช่าคอนโด ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นผู้จ่ายเงิน
และซื้อห้องนั้นมาครอบครองแล้วแต่อย่าลืมว่า
คอนโดฯ แต่ละที่นั้นมีกฎระเบียบไว้ให้ลูกบ้านได้ปฎิบัตตาม
อย่าลืมศึกษาให้ดีว่าทางคอนโดฯ มีกฎข้อห้ามใดบ้าง
และแจ้งผู้เช่าให้ชัดเจน ไม่งั้นอาจจะถูกเรียกปรับได้โดยไม่รู้ตัวเลยนะ
.
ผู้ให้เช่าจำนวนไม่น้อยเลยที่กังวลเกี่ยวกับการหาผู้เช่า
และอยากปล่อยห้องเช่าให้ได้เร็วที่สุด
จนลืมให้ความสำคัญกับการตรวจสอบผู้เช่า
ก่อนที่จะย้ายเข้ามาพักอาศัย ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงมากๆ
ผู้เช่าที่คุณควรหลีกเลี่ยงเลย
หากไม่อยากให้ห้องเสียหายหรือมีปัญหาตามมาก็คือ
– มีอาชีพและสถานะทางการเงินที่ไม่มั่นคง
เพราะในอนาคตอาจจะไม่สามารถจ่ายค่าเช่าคอนโดฯ ให้คุณได้
– ผู้ที่เข้ามาคุย มักจะเรียกร้องเอานี่เพิ่มนั่นเพิ่มมากจนเกินพอดี
หรือขอต่อราคาลง เพราะเป็นไปได้ว่าในอนาคตอาจจะมีปัญหาตามมา
– ผู้เช่าที่สูบบุหรี่ เพราะจะทำให้กลิ่นติดห้อง ผ้าม่าน
เฟอร์นิเจอร์ของคุณ หรือในกรณีที่ไปสูบตรงระเบียง
ก็อาจจะโดนเพื่อนบ้านร้องเรียนได้ ซึ่งผลกระทบจะตกมาอยู่ที่คุณได้
– ผู้เช่าที่มีเด็กเล็ก หรืออายุต่ำกว่า 10 ปี
เพราะอาจจะทำให้ห้องของคุณสกปรกได้ เช่นการขีดเขียนผนัง
ซึ่งการพิจารณาผู้เช่านั้นควรดูเป็นกรณีไป
หากได้ผู้เช่าดีก็ถือว่าวินๆ กันไป แต่ถ้าหากได้ผู้เช่าไม่ดี
เงินที่ได้มาอาจจะไม่คุ้มกับค่าเสียหายที่คุณได้รับเลย
.
ถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงเลยสำหรับข้อนี้
เพราะการให้เช่าก็นับเป็นธุรกิจ ควรมีการทำสัญญา
ที่ระบุเงื่อนไขไว้ชัดเจนและรัดกุมมากที่สุด
เพื่อให้ระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่ามีความเข้าใจที่ตรงกัน
นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณและผู้เช่าได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายด้วย
และคุณต้องมั่นใจด้วยว่าผู้เช่ารับทราบ
และเข้าใจในข้อตกลงร่วมกันก่อนจะเซ็นชื่อลงในใบสัญญา
.
ข้อนี้เป็นสิ่งที่ผู้ให้เช่าหลายคนมักละเลย
และดูแค่ตัวหลักฐานผ่านๆ โดยไม่ตรวจสอบ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเมื่อผู้เช่าส่งหลักฐานการโอนมา
ผู้ให้เช่าควรเช็คให้ละเอียดว่ามีการโอนเงินจริงๆ
โดยเช็คจาก วันที่ เวลาและยอดเงินในหลักฐาน
ว่าตรงกับรายการบัญชีหรือไม่ ป้องกันผู้เช่าหัวหมอ
ที่อาจจะปลอมหลักฐานและส่งมาให้คุณกันนะคะ
.
ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ให้เช่าควรปล่อยผ่าน
แต่ควรรวบรวมเป็นตารางรายการเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
ภายในห้องทั้งหมด พร้อมเก็บบันทึกภาพถ่าย
สภาพปัจจุบันของเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้น
โดยรวบรวมเป็นหมวดย่อยหรือแบ่งตามห้องต่าง ๆ
เป็นไงกันบ้างคะการปล่อยเช่าคอนโดฯ
ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดกันเลยใช่ไหม หากคุณอยากปล่อยเช่า
แต่ยังเป็นมือใหม่และกังวลกับปัญหาที่จะตามมา
ทาง Amber สามารถช่วยคุณได้นะคะ
เรามีบริการตั้งแต่หาผู้เช่าจนถึงการบริหารจัดการห้อง
หลังมีผู้เช่าแล้วโดยทีมงานที่มีประสบการณ์
หมดกังวลกับปัญหาข้างต้นได้เลยค่ะ
—————————————————————–
หากสนใจสามารถติดต่อมาได้ตามข้อมูลด้านล่างเลยนะคะ

Tel : 089-986-0202

Youtube : @amberrealty
ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยได้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
คอนโดติดรถไฟฟ้าที่มีข้อดีเรื่องความสะดวกในการเดินทาง
อาจจะไม่สามารถตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัยได้เพียงพออีกต่อไป
รูปแบบของห้องเองก็มีส่วนในการตัดสินใจของผู้พักอาศัยมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะห้องแบบ Loft กับ Duplex
ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นห้อง 2 ชั้น
ให้ความรู้สึกไม่อึดอัด และดีไซน์ที่สวยถูกใจกลุ่มคนรุ่นใหม่
และคนวัยทำงาน แต่หลายคนยังคงสับสนว่า
ห้อง Loft กับ Duplex นั้นต่างกันอย่างไร?
เป็นห้อง 2 ชั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
จริงๆ แล้วไม่ใช่นะคะถึงจะเป็นห้อง 2 ชั้นเหมือนกัน
แต่มีข้อแตกต่างกันอยู่นะคะ
วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยให้ทุกคนหายงงกันเองค่ะ มาเริ่มกันเลย
.
ห้องสไตล์ Loft
– ชั้นล่างและชั้นบนจะอยู่บนโครงสร้างเดียวกัน
เป็นห้องที่มีฝ้าเพดานสูงและในทางกฎหมาย
ไม่มีการกำหนดความสูงขั้นต่ำของชั้นลอย
– พื้นที่ใช้สอยถูกนับเพียงชั้นล่าง
เนื่องจากในทางกฎหมายระบุไว้ว่าพื้นที่ใช้สอยส่วนชั้นลอย
เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ จะไม่ถูกนับรวมอยู่ในโฉนด
– ชั้นลอยถูกนับเป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่มีประตูกั้นห้อง
– มีประตูเข้าออกทางเดียวคือ ทางชั้นล่าง
– ชั้นลอยจะไม่มีห้องน้ำ
ข้อดีของห้องสไตล์ Loft
– การเสียค่าส่วนกลางจะเสียแค่พื้นที่ใช้สอยที่ออกตามโฉนด
ดังนั้นถ้าห้องขนาด 35 ตร.ม.
และมีพื้นที่ใช้สอยชั้นลอย 22 ตร.ม.
จะเสียค่าส่วนกลางแค่ 35 ตร.ม.
– การที่มีฝ้าเพดานสูง ทำให้ห้องดูโปร่งและโล่งกว่าเดิม
ข้อเสียของห้องสไตล์ Loft
– มีความปลอดภัยค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีทางเข้า – ออก ทางเดียว
หากเกิดเหตุฉุกเฉินอาจจะหนีลำบาก
– ปัญหาเรื่องความสูงของชั้นลอย
เนื่องจากทางกฎหมายไม่ได้กำหนดขั้นต่ำไว้
จึงทำให้บางโครงการมีความสูงของเพดานเตี้ยกว่า 2.40 เมตร
ทำให้ห้องดูอึดอัด
.
ห้องสไตล์ Duplex
– ชั้นล่างและชั้นบนอยู่บนโครงสร้างคนละชั้น
ในทางกฏหมายกำหนดให้ชั้นบนมีความสูงไม่น้อยกว่า 2.4 เมตร
– พื้นที่ใช้สอยชั้นบนถูกนับเป็นสิ่งก่อสร้าง
ดังนั้นพื้นที่ใช้สอยทั้งชั้นบนและล่างจะถูกนับรวมกันอยู่ในโฉนด
– ชั้นบนสามารถแบ่งเป็นห้องต่างๆ มีประตูเปิด – ปิดได้
– ตามกฎหมายกำหนดให้มีประตูเข้า – ออก ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง
– ชั้นบนมักจะมีห้องน้ำด้วย โดยจะอยู่ตำแหน่งเดียวกับชั้นล่าง
ข้อดีของห้องสไตล์ Duplex
– เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
– ความสูงของเพดาน ที่มีความสูงมาก
จะช่วยทำให้ห้องดูกว้างและโปร่งโล่งมากยิ่งขึ้น
– หากเลือกแบบห้องที่มีการปิดกั้น ก็จะได้ความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นไปอีก
ข้อเสียของห้องสไตล์ Duplex
– ค่าไฟ ยิ่งห้องที่สูงและกว้างมากขึ้นเท่าไหร่
ภาระค่าไฟยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
– เสียค่าส่วนกลางที่มากขึ้นตามขนาดของห้องอีกด้วย
.
แล้วห้องแบบไหนที่จะตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของเรากันล่ะ?
ห้องสไตล์ Loft
เหมาะกับผู้อยู่อาศัยที่ต้องการห้องที่โล่ง โปร่งสบาย
เพราะมีเพดานสูง ให้ความรู้สึกทันสมัย
มีพื้นที่ใช้สอยในส่วนของชั้นลอยที่เพิ่มขึ้น
และยังมีราคาที่ไม่สูงจนเกินไป
ห้องสไตล์ Duplex
เหมาะกับผู้อาศัยที่ต้องการให้ห้องมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง
มีความลักซ์ชัวรี่ และบรรยากาศการอาศัยอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
ให้ความสะดวกสบายและมีพื้นที่ส่วนตัวให้ใช้งานอย่างเต็มที่
อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนคงเข้าใจความแตกต่าง
ของห้องสไตล์ Loft และ Duplex กันมากขึ้นแล้ว
และคงมีคำตอบกันแล้วใช่ไหมคะว่าห้องแบบไหน
ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ แต่ในการตัดสินใจเลือกซื้อ
ก็อย่าลืมคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ กันด้วยนะคะ
—————————————————————————–

ได้รับการรับรองจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งประเทศไทย

ให้บริการแบบครบจร One Stop Service

บริการซื้อ ขาย เช่า คอนโด

บริการฝากขาย ฝากเช่า คอนโด

บริการบริหารและจัดการคอนโด

Tel : 089-986-0202

Youtube : @amberrealty